เมื่อบ่ายวันพุธที่ 20 มิถุนายน 2018 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งผู้นำฝ่ายบริหาร เพื่อยุติปฏิบัติการ “แยกครอบครัว” ของบรรดาผู้อพยพที่พยายามเดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฏหมาย บริเวณพรมแดนเม็กซิโก ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา และมีเด็กถูกแยกจากอ้อมอกพ่อแม่มากกว่า 23,000 คน เป็นเหตุให้เกิดกระแสต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากทั่วทุกสารทิศ รวมถึงนักการเมืองระดับสูงบางส่วนของพรรครีพับลิกันด้วย
ปฏิบัติการแยกครอบครัวดังกล่าว เกิดขึ้นเพราะนโยบาย “ไม่อดทน” หรือ zero tolerance ของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อปัญหาการอพยพข้ามพรมแดนแบบผิดกฎหมาย โดยผู้ถูกจับกุมที่เป็นผู้ใหญ่ จะถูกคุมตัวโดยหน่วยงาน ยูเอส มาร์แชลล์ เพื่อรอดำเนินคดี ส่วนเด็กๆ ที่ติดตามพ่อแม่มา จะถูกส่งไปยังสถานกักกันตามรัฐต่างๆ ที่ดำเนินงานด้วยกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน
ข่าวบอกว่าการแสดงท่าที “ยอมถอย” ของประธานาธิบดีทรัมป์ดังกล่าว เป็นท่าทีที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากการเข้าบริหารประเทศมา 17 เดือน โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพและเสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กๆ ในค่ายกักกันที่เท็กซัส ซึ่งถูกนำออกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสต่อต้านนโยบาย “แยกครอบครัว” ของประธานาธิบดีทรัมป์ รุนแรงมากขึ้น จนทำให้พรรครีพับลิกัน เกรงว่าภาพลบที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อการเลือกตั้งกลางเทอม ที่จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้
นอกจากนี้ ข่าวยังให้เครดิตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง นางเมลลาเนีย ทรัมป์ ที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับนโยบายแยกครอบครัวเพื่อยุติปัญหาการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของสามี รวมถึงเคยกล่าวในที่สาธารณะด้วยว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ครอบครัวจะต้องอยู่ร่วมกัน
“เราจะต้องมีพรมแดนที่แข็งแรงมาก แต่เราจะรักษาครอบครัวให้อยู่ร่วมกัน” ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวหลังลงนามในคำสั่งพิเศษ ยกเลิกปฏิบัติการแยกครอบครัวเมื่อบ่ายวันที่ 20 มิถุนายน โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากเห็น หรือรู้สึกไม่ดี กับการที่เด็กๆ ถูกพรากจากอ้อมอกพ่อแม่
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่า คำสั่งพิเศษดังกล่าวไม่ได้เป็นการยุตินโยบาย “ไม่อดทน” หรือ Zero-tolerance กับปัญหาคนเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย และจะยังดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดต่อไป เพียงแต่หากมีการลอบเข้าเมืองเป็นครอบครัว ก็จะกักบริเวณทั้งครอบครัวไว้ร่วมกัน และเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ โดยจะขอให้กระทรวงกลาโหมช่วยดูแลเรื่องสถานที่พัก
ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่า นโบายแบบเด็ดขาดของเขา เป็นเรื่องจำเป็น ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข็ดขยาดให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งคือเหล่าอาชญากร ที่นิยมใช้เด็กๆ เป็นเครื่องมือในการทำผิดกฎหมาย และว่าที่ผ่านมา ในสมัยของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิบยู บุช และประธานาธิบดี บารัก โอบาม่า กลุ่มคนที่ข้ามแดนแบบผิดกฎหมาย รวมถึงกลุ่มที่พยายามยื่นเรื่องขอลี้ภัย จะถูกปล่อยตัวเพื่อรอการเรียกสัมภาษณ์ (civil hearing) ในศาลอิมมิเกรชั่น โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของคนเหล่านี้จะไม่กลับมาแสดงตัวในศาลตามนัด
อย่างไรก็ตาม การลงนามในคำสั่งพิเศษ เพื่อยกเลิกปฏิบัติการแยกครอบครัว ของประธานาธิบดีทรัมป์ ครั้งนี้ ถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็นปฏิบัติการที่ไม่จริงใจอย่างยิ่ง เพราะเมื่อตรวจสอบรายละเอียดแล้ว ไม่มีส่วนใดที่พูดถึงบรรดาเด็กๆ กว่า 23,000 คนที่ถูกพรากจากอ้อมอกของพ่อแม่ในช่วงเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา และที่สำคัญคือการออกคำสั่งให้มีการกักขังเด็กๆ ร่วมกับผู้ปกครองในระหว่างรอดำเนินคดีนั้น เป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจออกไปจากคำว่า “แยกลูกออกจากอ้อมอกพ่อแม่” เท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว กฎหมาย (Flores agreement) ไม่อนุญาตให้กักขังผู้เยาว์ได้นานเกิน 20 วัน ดังนั้นคำสั่งพิเศษ ของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงเหมือนการเปิดประตูรับการฟ้องร้องจากกลุ่มต่างๆ ได้มากมาย
“จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าทรัมป์จะยกเลิกคำสั่งพิเศษที่เพิ่งลงนาม แล้วกลับไปใช้นโยบายเดิมได้ภายเวลาอันรวดเร็ว หากเขาไม่เห็นทางออกที่พอใจ” นักวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ็น ระบุ
ในส่วนของผู้เยาว์จำนวนมากกว่า 2,300 คนที่ถูกแยกกับผู้ปกครองนั้น ข่าวบอกว่าส่วนหนึ่งอยู่ในสถานดูแลของรัฐ และอีกส่วนหนึ่งถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ หรือ foster home เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะหาทางออกให้กับเด็กๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งกลับให้ญาติพี่น้องที่ประเทศต้นทาง หรือมีญาติพี่น้องที่อยู่ในอเมริกาอย่างถูกต้อง ยื่นเรื่องขอเป็นสปอนเซอร์
“นอกจากนี้ ขั้นตอนการขอรับเป็นสปอนเซอร์ให้กับเด็กที่เข้าเมืองแบบผิดกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้พูดถึงขั้นตอนการคืนเด็กให้กับพ่อแม่ ที่พาพวกเขาข้ามพรมแดนเข้ามาแบบผิดกฎหมาย และถูกกักตัวโดยรัฐบาลกลาง ดังนั้นโดยหลักปฏิบัติแล้ว เด็กๆ จะถูกคืนให้กับพ่อแม่ได้ก็ต่อเมื่อพ่อแม่ได้รับการปล่อยตัว หรืออนุญาตให้อยู่ในประเทศได้อย่างถูกต้องเท่านั้น” นักวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ็น ระบุ
ข่าวบอกว่าเด็กๆ จำนวนมากกว่า 2,300 คนที่ถูกแยกจากพ่อแม่ในช่วงเดือนเศษๆ ที่ผ่านมานี้ คือปัญหาใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุขฯ ด้วยเช่นกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางกระทรวงมีหน้าที่ดูแลผู้เยาว์ ที่พยายามหลบหนีเข้าเมืองโดยลำพัง ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก.