เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 พุทธสมาคมนานาชาติแห่งอเมริกา (ไอบีเอเอ) ร่วมกับสมาคมชาวพุทธกัมพูชา และจากประเทศในแถบเอเชียรวมทั้งไทย ได้จัดพิธีเปิดการสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติครั้งที่ 3 บนภาคพื้นตะวันออกของสหรัฐฯ ที่วัดพุทธของกัมพูชาในรัฐแมริแลนด์ โดยการสาธยายพระไตรปิฎกครั้งนี้จะมีต่อเนื่องถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2561 และสองครั้งแรกจัดขึ้นที่วัดไทยกรุงวอชิงตันดีซี
มีพระเถระผู้ใหญ่ ภิกษุและภิกษุณีจากวัดและสถานปฏิบัติธรรมชาวพุทธในเขตดีซีทั้งไทย กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว ทิเบต อินเดีย เนปาล ศรีลังกา เวียดนาม และเกาหลีใต้ 40 รูป ตลอดจนชุมชนชาวพุทธนานาชาติ และคณะทูตานุทูตจากชาติเอเชียในกรุงวอชิงตันเข้าร่วมสาธยาย ในส่วนของไทย มี อท.ภัทราวรรณ เวชชศาสตร์ และที่ปรึกษาภิเษก ภาณุภัทร และผู้แทนชุมชนไทยร่วมสวดพระสูตรต่างๆ ไปพร้อมกับพระสงฆ์แต่ละชาติที่สลับกันนำสวดตามทำนองของแต่ละชาติ สะท้อนพลังศรัทธาและความเป็นเอกภาพของพุทธศาสนิกชนจากประเทศต่างๆ
กิจกรรมนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่สาม โดยไอบีเอเอซึ่งมีพระวิเทศรัตนาภรณ์ (ถนัด อัตถจารี) ประธานคณะกรรมการบริหารวัดไทยกรุงวอชิงตันดีซี เป็นคณะผู้ก่อตั้งในปี 2558 และปัจจุบันเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนางวังโม ดิกซี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และมีนายประสาร มานะกุล เป็นเลขาธิการ ซึ่งคณะผู้บริหารไอบีเอเอเห็นพ้องในการรวมพลังกลุ่มชาวพุทธเพื่อให้พระพุทธศาสนาในสหรัฐฯ ซึ่งเติบใหญ่จนมีวัดและสถานปฏิบัติธรรมในปัจจุบันประมาณ 3,000 แห่งและผู้เลื่อมใสสองล้านคนทั่วสหรัฐฯ มีทิศทางร่วมกัน
การอ่านและทำความเข้าใจพระไตรปิฏกซึ่งถือเป็นคำสอนหลักของพระพุทธเจ้าทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างนิกาย และส่งผลให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าถึงผู้สนใจได้มากและรวดเร็วขึ้น โดยทางไอบีเอเอได้เน้นจัดสอนการทำสมาธิแก่กลุ่มเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่และขยายเป็นเครือข่ายชาวพุทธนานาชาติจากภาคส่วนต่างๆ ทั่วโลก โดยหวังจะทำให้เกิดเป็นพลังการรับรู้และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างมีทิศทางต่อไป
การสาธยายพระไตรปิฏกจัดขึ้นหลายแห่งทั่วโลก ในสหรัฐฯ เริ่มจัดขึ้นสองแห่งที่เบอร์กเลย์ นครซานฟรานซิสโกและที่วัดไทยกรุงวอชิงตัน โดยนางวังโม ดิกซี บุตรสาวของพระตาร์ธัง ตุลกู ชาวทิเบตผู้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติสมาธิญิงมาในเบอร์กเลย์ มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิแสงพุทธรรรมนานาชาติ และได้สนับสนุนการจัดสาธยายพระไตรปิฏกขึ้นที่พุทคยาก่อนขยายสู่ชาวพุทธนานาชาติในปัจจุบัน
(ข่าวโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี)