ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส โดยนายธานี แสงรัตน์ กงสุลใหญ่ฯ ได้ร่วมกับองค์กร Business Oregon และ Prosper Portland นำคณะนักธุรกิจสาขาพลังงานและสิ่งแวดล้อมจากมลรัฐโอเรกอน จำนวนแปดบริษัท เดินทางไปเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วม ASEAN Sustainable Energy Week ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ซึ่งจัดโดยกระทรวงพลังงานระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายน 2561 โดยได้จัดให้พบหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องด้วย
ในโอกาสการหารือระหว่างอาหารกลางวันเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2561 กับนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ น.ส. ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย (BOI) โดยมีนายศรัณย์ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศและกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิสเข้าร่วมด้วย สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ยินดีที่บริษัทจากมลรัฐโอเรกอน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานสะอาด ให้ความสนใจมาลงทุนค้าขายในประเทศไทย และเล่าถึงโครงการสำคัญของไทยในช่วง 8 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ได้แก่ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งประกอบด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เช่น ท่าเรือแหลมฉบังและสนามบินอู่ตะเภา การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา ให้เหลือเพียง 45 นาที - 1 ชั่วโมง และการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ เป็นต้น โดยโครงการทั้งหมดมีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายกอบศักดิ์ฯ เข้าใจดีว่าขณะนี้ สหรัฐฯ มีนโยบายส่งเสริมการค้าการลงทุนและการสร้างงานในประเทศ (America First) แต่ก็ไม่ควรมองข้ามเอเชีย เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยจีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน อินเดียมีประชากร 1.2 พันล้านคน และอาเซียนมีประชากร 800 ล้านคน แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยนั้นเหมาะสมที่สุด เนื่องจากไทยเป็นประเทศรายได้ระดับกลางที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีตลาดเปิด ไม่มีปัญหาการลอกเลียนเทคโนโลยีและดูแลนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ไทยยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเส้นทางคมนาคมทางบกเชื่อมต่อไปถึงจีนและอินเดีย การลงทุนตั้งโรงงานในไทย จึงสามารถเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค และเป็นฐาน (base) และประตู (gateway) ไปสู่ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านของไทย จีนและอินเดียได้อีกด้วย
น.ส. ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการ BOI แจ้งว่า เทคโนโลยีที่ไทยกำลังให้ความสนใจ ได้แก่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า สถานีชาร์จไฟฟ้า และการกำจัด/รีไซเคิลขยะ โดยนักลงทุนต่างชาติจะได้รับผลประโยชน์และสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ อัตราภาษีคงที่ ซึ่งต่ำกว่าที่สหรัฐฯ ถึงร้อยละ 17
นักธุรกิจจากมลรัฐโอเรกอนขอบคุณฝ่ายไทยที่จัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าการลงทุนให้เป็นอย่างดี และแนะนำเทคโนโลยีของแต่ละบริษัท ตั้งแต่การกักเก็บพลังงาน ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า การจัดการ/รีไซเคิลไม้และโลหะ ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านน้ำ โดยหวังว่าในการเข้าร่วมออกบูธในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2018 ในปีนี้ จะได้บริษัทไทยมาเป็นคู่ค้าและพันธมิตรด้านการลงทุนในประเทศไทยต่อไป
และเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2561 กงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ และหน่วยงานรัฐโอเรกอน นำคณะนักธุรกิจด้านเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานสะอาดจากมลรัฐโอเรกอน รวม 8 บริษัท เข้าร่วมการหารือกับหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีนายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าฯ และนายไพรัช บูรพชัยศรี รองประธานกรรมการหอการค้าฯ ให้การต้อนรับ และมีภาคเอกชนไทยเข้าร่วม ประกอบด้วยบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด บริษัท มิตรผลไบโอฟูเอล จำกัด บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัล เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด
รองประธานกรรมการหอการค้าฯ กล่าวแนะนำความเป็นมาของหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2476 มีสมาชิกกว่า 1 แสนบริษัท และเป็นหอการค้าแห่งเดียวในโลกที่มีมหาวิทยาลัยเป็นของตนเอง คือ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่มีนักศึกษาจากทั่วโลกช่วยสร้างเครือข่ายในการค้า หอการค้าแห่งประเทศไทยพร้อมจะเป็นจุดเริ่มต้นและเชื่อมโยงให้บริษัทสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดอาเซียนโดยใช้ไทยเป็นฐาน
รองประธานกรรมการหอการค้าฯ กล่าวว่า เทคโนโลยีด้านพลังงานที่ไทยให้ความสนใจได้แก่ 1) พลังงานหมุนเวียน (renewable energy) ทั้งในระดับประเทศ และระดับชุมชน โดยเฉพาะการใช้แผงโซลาร์เซลล์ในโรงงานและที่พักอาศัย ตลอดจนการขายไฟฟ้าแบบ B-to-B (ขายให้ภาคธุรกิจ) 2) เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของรัฐบาล ภายใต้กรอบการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยเน้นการใช้ระบบ smart grid เพื่อประหยัดทรัพยากรและใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่าที่สุด และ 3) ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า (EV) ซึ่งต้องเน้นการพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่เพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้น โดยใช้เวลาชาร์จน้อยลง
คณะนักธุรกิจสหรัฐฯ แนะนำเทคโนโลยีของแต่ละบริษัท ซึ่งมีทั้งบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านมอเตอร์ไฟฟ้า บริษัทผู้ผลิต EV ความเร็วต่ำ และเครื่องยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า ผู้ผลิตสถานีชาร์จ EV ผู้ผลิตหน่วยกักเก็บพลังงานรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทกำจัดขยะหมุนเวียน และผู้ผลิตเครื่องย่อยไม้และโลหะ เป็นต้น
ภาคเอกชนไทยแนะนำบริษัทของตน ซึ่งประกอบด้วยผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของเอเชียและนำของเหลือทางการเกษตรมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และผู้ประกอบธุรกิจเยื่อกระดาษและเศษไม้ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายแสดงความสนใจที่จะมีความร่วมมือทางการค้าและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีต่อไป
กงสุลใหญ่ฯ กล่าวถึงโครงการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่สถานกงสุลใหญ่ฯ กำลังพิจารณาจะจัดขึ้นในปลายปีนี้ อาทิ การสนับสนุนแบรนด์นักออกแบบแฟชั่นไทยเข้าร่วมงาน LA Fashion Week 2018 ที่นครลอส แอนเจลิส และการจัดงาน Job Fair เพื่อจับคู่ระหว่างนักศึกษาไทยและผู้เชี่ยวชาญไทยในสหรัฐฯ กับบริษัทไทย และบริษัทสหรัฐฯ ในประเทศไทย และแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางธุรกิจ เทคโนโลยีและนวัตรกรรมระหว่างภาคเอกชนไทยกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป
จากนั้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2561 กงสุลใหญ่ฯ และหน่วยงานมลรัฐโอเรกอน นำคณะนักธุรกิจด้านเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานสะอาดจากโอเรกอนและสื่อมวลชนจากนิตยสาร Oregon Business เข้าพบหารือกับนางพรรณี เช็งสุทธา ที่ปรึกษาด้านการลงทุน ระดับเชี่ยวชาญ ที่ศูนย์ One Start One Stop Investment Center (OSOS) BOI อาคารจัตุรัสจามจุรี สรุปได้ ดังนี้
ผู้แทน BOI บรรยายสรุปเรื่อง 1) ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งในปีนี้คาดว่า GDP จะโตถึงร้อยละ 4.8 และนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะ “ประเทศไทย 4.0” และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
2) สถิติการลงทุนของสหรัฐฯ ในประเทศไทยผ่าน BOI ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ บริการ อุปกรณ์โลหะและเครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
3) ความน่าลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการเก็บภาษีเงินได้ต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน และความสะดวกในการทำธุรกิจ (ease of doing business) ซึ่งไทยปรับขึ้นจากปีที่ผ่านมาเกือบ 20 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 27 ในปี 2560
4) ภารกิจของ BOI และนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ตลอดจนสิทธิพิเศษ (incentives) ต่าง ๆ ที่นักลงทุนจะได้รับ ทั้งในแง่ภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี โดยพิจารณาจากพื้นที่ที่ตั้งกิจการ (area-based) และจากเทคโนโลยีที่ใช้ (technology-based)
5) แนวโน้มตลาดพลังงานในประเทศไทย โดยเฉพาะพลังงานทางเลือก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพลังแสงอาทิตย์ พลังน้ำ และชีวมวล ส่วนการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน (waste to energy) นั้นยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต
6) Smart Visa ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน ผู้บริหาร และผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ ให้เข้าไปทำงานในประเทศไทยในอุตสาหกรรมหลัก 10 สาขา (S-curve industries) ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกพร้อมให้บริการ
คณะนักธุรกิจสหรัฐฯ สนใจสอบถามเรื่องการถือหุ้นของต่างชาติ มาตรการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน (competitive enhancement measures) และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งผู้แทน BOI แจ้งว่า นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 100 ในธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ส่วนธุรกิจที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้องเป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งปัจจุบัน ไทยมีกฎหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่มีประสิทธิภาพและมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์)
กงสุลใหญ่ฯ แจ้งว่า เหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนไม่มีเป้าหมายที่ธุรกิจต่างประเทศ ในขณะที่เหตุการณ์ในบางประเทศมีเป้าหมายที่บริษัทต่างประเทศ นอกจากนี้ ทีมประเทศไทยประกอบด้วยสำนักงาน BOI สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานที่ปรึกษาทางการเกษตร และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส พร้อมช่วยประสานงานและให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่คณะนักธุรกิจมลรัฐโอเรกอนในการส่งเสริมการค้าการลงทุนกับไทย
นักลงทุนที่สนใจสามารถดูข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.boi.go.th และ http://osos.boi.go.th.
โดย : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส