นั่นทำให้ภาพพจน์ของอเมริกาเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในแทบทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
เวลานี้ ประเทศคู่ค้าที่ “ได้ดุลย์” กับสหรัฐฯ หลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน กำลังถูกบีบคั้นในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการข่มขู่ว่าจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่ส่งมาขาย เพราะประธานาธิบดีทรัมป์มองว่า นโยบายการค้าของจีนนั้น “เอาเปรียบ” อเมริกาอยู่ รวมถึงมีการตั้งข้อกล่าวหาสารพัด เช่นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี ไปจนถึงการที่รัฐบาลจีนยื่นมือเข้ามาอุดหนุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี
นั่นทำให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา บรรยากาศการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ค่อนข้างอึมครึม ด้วยว่าทางการจีนก็ประกาศกร้าวว่าพร้อมจะตอบโต้การคุกคามทางการค้าจากสหรัฐหากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น
และเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งประเทศ ที่กรุงปักกิ่ง โดยหวังว่าจะส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้าของสองยักษ์ใหญ่ คือสหรัฐฯ และจีน จะบรรเทาเบาบางลง
แต่เท่าที่ฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากข่าวของหลายๆ สำนักแล้ว น่าจะประเมินได้ว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าการเจรจาดังกล่าว จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของจีน อย่างที่ฝ่ายสหรัฐฯ ต้องการ
แต่ก็มีหลายคน ที่คาดการณ์ว่าจีนจะออกมาตรการระยะสั้น เพื่อผลักดันให้สหรัฐเลื่อนเวลาการตัดสินใจใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ออกไป
สรุปว่ามีไม่กี่คนที่เชื่อว่าการเจรจาครั้งนี้จะสามารถ “ยับยั้ง” ไม่ให้ “สงครามภาษี- สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเกิดขึ้น เพียงแค่ประวิงเวลาออกไปเล็กน้อยเท่านั้น
จึงเกิดคำถามขึ้นว่า หากสงครามภาษี หรือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเกิดขึ้นจริงๆ ประเทศไทยของเรา จะได้รับผลประโยชน์ทางการค้า หรือมีผลดี-ผลเสีย อย่างไรหรือไม่
เรื่องนี้ ขวัญนภา ผิวนิล ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอส แอนเจลิส (ไทยเทรด แอลเอ) มองภาพได้ชัดเจน
และนี่คือความเห็นของเธอ ที่พูดเอาไว้ระหว่างการให้สัมภาษณ์รายการทอล์คโชว์ “เก้าอี้รับแขก” ของสยามทาวน์ทีวี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา...
“เราจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างหรือคะ ก็มีทั้งสองมุมนะคะ จริงๆ แล้วเราไม่อยากให้เกิดสงครามการค้าหรอกคะ เพราะท้ายที่สุดแล้วจะทำให้สภาพแวดล้อมทางการค้าระหว่างประเทศ ได้รับผลกระทบที่ไม่ดีด้วย ทำให้ไม่มีใครอยากทำการค้ากัน สอง ต้องบอกว่าปัจจุบันนี้ ห่วงโซ่อุปทาน หรือ supply chain ของสินค้าในโลกนี้ มันไม่มีที่จะอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งเพียวๆ แล้ว ลักษณะคือจะมูฟไปเรื่อยๆ ต้นน้ำอยุ่ประเทศหนึ่ง กลางน้ำอยู่อีกประเทศหนึ่ง ปลายน้ำก็ยู่อีกประทศหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ได้รับผลกระทบนี่ มันจะกระทบทั้งเชนทันที
“ในกรณีของสหรัฐฯ กับจีนนี่ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ ต้องเรียนว่า สินค้าหลายตัวของเราอาจจะได้รับผลกระทบด้วย อย่างสินค้าอุตสาหกรรม พวกอิเล็กโทรนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางตัว เราเป็นซัพพลายต้นน้ำไปให้จีน แล้วจีนผลิตเพื่อส่งออกต่อมายังอเมริกา เพราะฉะนั้น ถ้าจีนส่งออกมาอเมริกาไม่ได้ ไทยก็กระทบทันที เช่นกัน เป็นผลกระทบทางอ้อม
“แต่ขณะเดียวกัน ผลบวกก็อาจจะมีนะคะ สำหรับสินค้าบางตัวที่เราเป็นคู่แข่งโดยตรงกับจีน ตัวนั้นเราก็จะได้เปรียบ เท่าที่ประเมินเร็วๆ นี้ก็เช่น costume jewelry คือที่เรากับจีนค่อนข้างแข่งกัน หมายความว่าถ้าอัตราภาษีนำเข้าจากจีนสูงขึ้น ก็หมายถึงว่าไทยเราจะมีโอกาสได้ประโยชน์ เรียกว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์ มากขึ้น แล้วก็มีสินค้าเกษตรบางรายการที่เราอาจจะได้ประโยชน์ด้วย
“แต่ทั้งนั้นทั้งนั้น ต้องมาดูสินค้าเป็นรายตัว เพราะว่าบางครั้ง อัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น เทียบกับต้นทุนการผลิตของเรากับจีน บางทีก็อาจจะไม่ได้บาลานซ์กันทีเดียว
“แต่ต้องเรียนด้วยว่า จีนนั้นฉลาด มองการณ์ไกลพอสมควร สินค้าหลายตัวของเขา เขาไปลงทุนผลิตในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่นยางรถยนต์ จีนไม่ผลิตเองแล้วส่งออกมาเมืองนอกอีกต่อไป เขาไปลงทุนในเมืองไทย ในหลายๆ ที่ รวมถึงในอเมริกาด้วย ทำให้ตรงนี้ ก็จะไม่มีผลกระทบกับเขาร้อยเปอร์เซ็นต์“