เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2018 นายจู กวงเหยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของจีน กล่าวว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่จะตอบโต้หากถูกยั่วยุ
"เราจะตอบโต้หากมีประเทศใดบ่อนทำลายผลประโยชน์ของเรา ไม่ควรมีใครคิดว่าจีนจะทนรับทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเรา นี่เป็นหลักการที่เราต้องยึดถือ" เขากล่าว
นายจูกล่าวว่า "นี่เป็นเวลาที่สหรัฐควรหันไปดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยกลับมาเจรจากับจีนอย่างสร้างสรรค์ ในการจัดการกับปัญหาและความท้าทาย เพื่อให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมีความแข็งแกร่งและมั่นคง"
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจีนได้เปิดเผยรายการสินค้าของสหรัฐที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งประกอบด้วยสินค้า 106 รายการใน 14 หมวดสินค้า รวมถึงถั่วเหลือง วิสกี้ รถยนต์ เครื่องบิน อาวุธยุทโธปกรณ์ และเคมีภัณฑ์ โดยรัฐบาลจีนจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีน
ผลบังคับใช้เมื่อไหร่นั้น นายจูกล่าวว่าขึ้นอยู่กับสหรัฐฯ ว่าจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเมื่อไร
มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 106 รายการใน 14 หมวดสินค้ดังกล่าวนี้ ถือเป็นการตอบโต้ระลอกสองของรัฐบาลจีน หลังจากที่ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากร 25 เปอร์เซ็นต์กับสินค้าจากสหรัฐฯ 128 รายการ มูลค่าประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งรวมเนื้อหมูและไวน์ อันเป็นมาตรการที่มีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน เพื่อตอบโต้คำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากต่างประเทศเมื่อ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่าจะทำให้จีนเสียผลประโยชน์มากกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ การตอบโต้ครั้งล่าสุดของจีน มีขึ้นหลังจากที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้เปิดเผยรายการสินค้าของจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า คิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะบีบให้จีนผ่อนปรนกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน
USTR ระบุว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 1,300 รายการ ตั้งแต่สินค้าอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น การแพทย์ การบิน และเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงสินค้าจำพวกเครื่องจักรและเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวยังครอบคลุมถึงสินค้าผู้บริโภคอย่างเครื่องซักผ้า เครื่องกวาดหิมะ และมอเตอร์ไซค์
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที โดยบริษัทสหรัฐจะมีเวลาจนถึงวันที่ 22 พ.ค. ในการแสดงความคิดเห็นเพื่อคัดค้านการดำเนินการดังกล่าว และทาง USTR จะเริ่มเปิดการรับฟังความเห็นจากประชาชนทั่วไปในวันที่ 15 พฤษภาคม ศกนี้
ต่อคำขู่ของรัฐบาลจีนในเรื่องการจัดเก็บภาษีสินค้า 106 รายการ ใน 14 หมวดสินค้าดังกล่าวนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ นายวิลเบอร์ รอส กล่าวเมื่อวันที่ 4 เมษายนว่า ไม่น่าส่งผลกระทบมากนักต่อสหรัฐ
"การเรียกเก็บภาษีของจีนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP สหรัฐฯ ดังนั้นจึงไม่ได้มีผลกระทบที่รุนแรงมากนัก และสิ่งนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับภาษีที่เราเรียกเก็บจากจีนโดยอิงจากทรัพย์สินทางปัญญา" นายรอสกล่าว
นอกจากนี้ นายรอสยังเห็นพ้องกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า สหรัฐไม่ได้กำลังทำสงครามการค้ากับจีน ซึ่งสหรัฐฯ แพ้สงครามนั้นไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ไร้ความสามารถ
"ประธานาธิบดีสหรัฐหลายคนทำให้เรามาถึงจุดนี้ที่มีการขาดดุลการค้าจำนวนมาก และปธน.ทรัมป์จะนำพาเราออกจากปัญหา" เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่าการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ครั้งนี้ เขาหวังว่าจะนำมาซึ่งการ “เจรจา” กันของทั้งสองฝ่าย
"จะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ถ้าผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นคือทำให้มีการเจรจา แต่เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์กำหนดวันเจรจาที่คาดว่าจะมีความซับซ้อน โดยยังไม่แน่ชัดว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นในปลายเดือนหน้า หรือหลังจากนั้น" เขากล่าว
การตอบโต้ของรัฐบาลจีนนั้น นอกเหนือจากการประกาศขึ้นภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ แล้ว ยังมีการยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยบอกว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข่ายเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของ WTO ว่าด้วยการห้ามเลือกปฏิบัติและตั้งกำแพงภาษี
ผลกระทบอีกประการที่เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ และจีนเปิด “สงครามการค้า” ครั้งนี้ คือส่งผลให้ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พากันปรับตัวลดลง โดยนักวิเคราะห์ระบุว่ามีปัจจัยสำคัญมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้น โดยตลาดหุ้นดาวโจนส์ตัวลดลง 459 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแดกลดลงเกือบ 3 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมเพียงหนึ่งวันสูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลกระทบมาถึงตลาดหุ้นในเอเชียโดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์นิเคอิของญี่ปุ่นลดลงทันที 1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปิดตลาดในเช้าวันที่ 3 เมษายน
หุ้นในส่วนของบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบวันที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงบริษัทค้าปลีกออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างอเมซอน ที่ถือเป็นหนึ่งในหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมาก หลังถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โจมตีผ่านทางทวิตเตอร์หลายครั้ง ซึ่งสร้างความหวั่นวิตกให้กับตลาดและนักลงทุน โดยมูลค่าหุ้นของอเมซอนปรับตัวลดลงมากถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ที่มีรายงานว่าทรัมป์กล่าวหาอเมซอนว่าเอาเปรียบไปรษณีย์แห่งชาติของสหรัฐและไม่จ่ายภาษีอย่างถูกต้อง
ความหลงใหลในการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ ยังทำให้ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต้องคิดพิจารณาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสงครามการค้าที่จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของลัทธิการกีดกันทางการค้าซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกด้วย.