ข่าวคนไทยในอเมริกา
รายงานหน้าหนึ่ง : สหรัฐฯ กับภาษีนำเข้าเหล็ก...ได้ไม่คุ้มเสีย








โดย : ปรียพรรณ มีสุข


ทั่วโลกเข้าสู่บรรยากาศแห่งความตึงเครียดอีกครั้งหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ และอลูมิเนียม 10 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์นี้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์มองว่า การนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีในอัตราดังกล่าวถือเป็นการปกป้องและช่วยเหลืออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง พร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังทวีตข้อความว่า การทำสงครามการค้าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสหรัฐฯ และเป็นเรื่องง่ายที่จะได้มาซึ่งชัยชนะ

ใครได้ใครเสีย?
แน่นอนว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการใหม่ของผู้นำสหรัฐฯ ก็คืออุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมในประเทศ เพราะได้เปรียบในเรื่องการแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน มาตรการดังกล่าวอาจทำให้บริษัทต่างชาติหันมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ อาจสูงเกินไป เช่นในอดีตที่สหรัฐฯ เคยใช้มาตรการจำกัดการนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น ค่ายรถญี่ปุ่นหลายรายก็ต้องย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี กลุ่มที่เสียประโยชน์ดูเหมือนจะมีมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตที่นำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจำนวนมากเพื่อนำมาผลิตสินค้าต่างๆ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ในครัว และอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น มาตรการใหม่จะทำให้ผู้ผลิตสินค้ามากมายเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้บริโภคก็ต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ยอดขายสินค้าลดลง นำไปสู่การผลิตและการจ้างงานที่ลดลงในที่สุด

นอกจากนี้ หากประเทศต่างๆใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า อุตสาหกรรมอื่นๆของสหรัฐฯ ก็จะโดนหางเลขไปด้วย เช่น หากจีนใช้มาตรการตอบโต้ อุตสาหกรรมการเกษตรของสหรัฐฯ ก็ไม่รอด เพราะจีนเป็นผู้ซื้อผลิตผลทางการเกษตรรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของสหรัฐฯ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) พร้อมตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน วิสกี้เบอร์เบิน และกางเกงยีนส์ลีวายส์

ทั่วโลกคัดค้าน
ความเคลื่อนไหวของโดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก นายโรแบร์โต อาเซเวโด ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการที่สหรัฐฯ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ขณะที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งการทำสงครามการค้าจะไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และองค์การการค้าโลกจะจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายเบิร์นฮาร์ด แมทเทส ประธานสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนี (VDA) กล่าวว่า ควรมีการหลีกเลี่ยงการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นผู้แพ้ และการเรียกเก็บภาษีนำเข้าไม่ใช่คำตอบของการแก้ไขปัญหา

ขณะที่นายจาง เย่สุย โฆษกสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ หากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ กระทบต่อผลประโยชน์ของจีน

ทางด้านนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของ EU ระบุว่า หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม EU ก็จะตอบโต้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้มาตรการนี้ได้เหมือนกัน โดยมีรายงานว่า EU เล็งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ EU ตั้งเป้าว่า จะเก็บภาษีไม่ได้มีแค่เหล็กเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเสื้อยืด เครื่องสำอาง มอเตอร์ไซค์ สุรา น้ำผลไม้ สินค้าเกษตร และอื่นๆ

นางเซซิเลีย มาล์มสตรอม กรรมาธิการด้านการค้าของยุโรปกล่าวเสริมว่า มาตรการเหล่านี้ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคและตลาดโลก ขณะเดียวกันก็จะเป็นการเพิ่มต้นทุน และลดทางเลือกสำหรับผู้บริโภคเหล็กและอลูมิเนียมในสหรัฐฯ รวมถึงบรรดาอุตสาหกรรมที่นำเข้าสินค้าเหล่านี้ด้วย

ล่าสุด นายทาเคโอะ อะกิบะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้พบกับนายวิลเลียม แฮเกอร์ตี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น เพื่อย้ำว่า เหล็กและอลูมิเนียมที่สหรัฐฯ นำเข้าจากญี่ปุ่น ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

ความแตกแยกภายใน
นอกจากจะถูกนานาประเทศต่อต้านแล้ว ความเคลื่อนไหวของปธน.ทรัมป์ยังสร้างความแตกแยกภายในประเทศและในพรรคของตนเองด้วย โดยกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงเกษตรกรในสหรัฐฯ ได้เริ่มออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยหวังจะล็อบบี้สมาชิกพรรครีพับลิกันกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยให้ใช้อำนาจทางกฎหมายขัดขวางมาตรการดังกล่าว ขณะที่สมาชิกระดับสูงของพรรครีพับลิกันอย่างนายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างมากและเรียกร้องให้ปธน.ทรัมป์ยกเลิกมาตรการนี้

อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ก็ยังยืนยันว่าจะ "ไม่ยอมถอย" พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดสงครามการค้า จนล่าสุด นายแกรี่ โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งแล้ว โดยระบุว่าแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของปธน.ทรัมป์ อิงจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นรายงานที่ใช้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีการวิเคราะห์ตำแหน่งงานที่จะหายไปจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ขณะเดียวกัน นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เปิดเผยว่า สมาชิกพรรคมีความวิตกกังวลอย่างมากว่ามาตรการนี้อาจลุกลามกลายเป็นสงครามการค้า

ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากทุกทิศทุกทาง ผู้นำสหรัฐฯ จะดันทุรังเดินหน้าต่อไปหรือสุดท้ายจะยอมถอย คงจะได้รู้กันในอีกไม่นาน.

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส

แสดงความคิดเห็น

Name :
 
Detail :
 



ฉบับที่
597
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข