“มีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องทำสมาธิ ?”
“ถ้าไม่ทำสมาธิเลยจะบรรลุธรรมได้ไหม ?”
“ชีวิตจะมีความสุขได้ไหม ?”
คำถามเหล่านี้ เป็นคำถามที่ผู้รับคำถามมาต้องคิดแสวงหาคำตอบ เพื่อตอบคำถามของผู้ถามให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะพึงกระทำได้
ถ้าจะตอบคำถามที่ว่า “ทำสมาธิแล้วได้อะไร?” ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า “เมื่อทำสมาธิย่อมได้สมาธิ”
โดยเทียบกับคำถามอื่นๆในทำนองเดียวกันนี้ เช่น ถามว่า ทำขนมบัวลอย แล้วได้อะไร? ผู้ทำขนมบัวลอยก็น่าจะตอบได้เลยว่า เมื่อทำขนมบัวลอย ก็ย่อมได้ขนมบัวลอย เป็นธรรมดา
อาจจะมีคำถามต่อไปอีกว่า “สมาธิ คืออะไร ?”
ตอบตามตำราที่สอนสืบๆต่อกันมาว่า สมาธิ คือ ความมั่นคงแห่งใจ สาเหตุที่ต้องอาศัยตำราเพราะ เมื่อพูดถึงจิตหรือใจ เป็นการพูดถึงเรื่องนามธรรมที่ลึกซึ้งยากแก่การให้ความหมายและอธิบายให้เข้าใจกันได้อย่างง่ายๆ เมื่อได้นำความหมายและคำอธิบายจากตำรามามอบให้ท่านผู้ถามแล้ว ท่านก็นำไปพิจารณาดูอีกครั้งหนึ่งว่า คำตอบที่ได้รับนั้นพอใจหรือไม่อย่างไร
ตำรายังบอกอีกว่า ลักษณะของใจที่เป็นสมาธินั้นต้อง มั่นคง บริสุทธิ์ อ่อนโยน มีความตื่นตัวหรือพร้อมจะทำงานที่เกี่ยวข้องทั้งรูปธรรมและนามธรรมได้อย่าง ถูกต้อง เหมาะสม มีประสิทธิภาพ
ใจที่มั่นคง คือ ใจที่ไม่กระเทือน ไม่หวั่นไหว ตามอารมณ์ที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ใจที่บริสุทธิ์ คือ ใจที่เป็นปกติไม่เศร้าหมอง เมื่อผ่านการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ใจที่อ่อนโยน คือ ใจที่ไม่แข็งกระด้าง เกาะติดเหนียวแน่นอยู่กับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พร้อมที่จะโน้มไปรับ รู้ เห็นปล่อยวาง อารมณ์ต่างๆได้สะดวก คล่องแคล่วไม่ติดขัด เปรียบเหมือนดินน้ำมัน หรือ ดินเหนียวที่มีความอ่อนตัว พร้อมจะรองรับการปั้นรูปหรือสร้างแบบต่างๆได้ตามปรารถนาของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะปั้น จะแก้ไข จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ล้วนทำได้ง่าย เพราะความอ่อนโยนนั้นเอง
ใจที่พร้อมจะทำงานทั้งด้านในและด้านนอก
ใจที่พร้อมและตื่นตัวที่จะทำงานด้านนอก ได้แก่ใจที่ประกอบด้วยสติ ความระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างเต็มที่ พร้อมจะรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวทางกาย ในการทำงานและประกอบกิจการต่างๆในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใจที่พร้อมจะทำงานด้านในอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ใจที่ประกอบด้วยสติ ความระลึกรู้ อย่างเต็มที่ อันพร้อมจะรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวแห่งใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ และสิ่งที่ดับออกไปจากใจได้อย่างชัดเจน
สติ ความระลึกรู้ เป็นสภาวธรรมสำคัญที่จะตามดู ตามรู้ ตามเห็นความเคลื่อนไหว และสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและจิตได้เป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงสมาธิ ต้องมีสติมาพร้อมกันเสมอเช่น มีคำว่า สติปัฏฐาน อานาปานสติ หลักแห่งการภาวนาทั้งสองประการนี้ล้วนมีคำว่า สติ เป็นแกนกลางที่สำคัญ
คำว่า ปัญญา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมาธิภาวนา ล้วนมีความหมายว่า ความรอบรู้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ตามความเป็นจริง
ความเป็นจริง มุ่งหมายถึง กฎธรรมชาติอันเป็นสากล 3 ประการ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง หรือ ความเปลี่ยนแปลง ทุกขัง สภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ต้องแปรเปลี่ยนไป อนัตตา มิใช่ตัวตนที่เป็นแก่นสารถาวรแต่ประการใด
พระดำรัสของพระพุทธเจ้าก็มีว่า
“เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์ คือ ทนอยู่ไม่ได้ และธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์”
ปัญญา ที่เห็นแจ้งประจักษ์สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นว่าเป็นไปตามกฎธรรมชาติเช่นนี้ ย่อมนำไปสู่ความเบื่อหน่าย จางคลายจากความหมกมุ่น มัวเมา หลงใหลในสังขารทั้งหลายทั้งที่เป็นรูปธรรมและเป็นนามธรรม ความไม่ยึดมั่นถือมั่นย่อมปรากฏ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น”
เมื่อไม่ยึดมั่นก็หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็บริสุทธิ์ เบา สงบเย็น เป็นอิสรภาพจากการคุกคามแห่งกิเลสน้อยใหญ่ที่มีสาเหตุมาจากความยึดมั่นถือมั่นได้เด็ดขาด
สติ สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมสามัคคี ช่วยให้สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี ชีวี เป็นสุข
วันที่ 4 มีนาคม 2561 เวลา 6.11 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา