แอลเอไทมส์ เสนอข่าวเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2018 ว่าในปี 2017 ที่ผ่านมา มีคนเดินถนนที่เสียชีวิตเพราะถูกรถชนในเขตเมืองแอลเอ สูงถึง 134 ราย ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 15 ปี โดยบอกว่าตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพราะคนขับรถยนต์ มีสิ่งรบกวนให้วอกแวกมากขึ้นเรื่อยๆ
ไทมส์บอกว่าขณะนี้ ยังไม่มีตัวเลขรวมทั่วประเทศ แต่ตัวเลขคนเดินถนนที่เสียชีวิตเพราะถูกรถชนทั่วประเทศในปี 2016 เพิ่มจากปี 2015 ถึง 9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตัวเลขในเขตเมืองแอลเอ เพิ่มขึ้นถึง 42 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม หากดูตัวเลขรวมผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ทั้งหมด คือรวมทั้งจักรยาน คนเดินถนน มอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ จะอยู่ที่ 244 คน ซึ่งถือว่าลดลงจากปี 2016 ถึง 6 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ เมื่อปี 2015 อีริค การ์เซ็ตติ นายกเทศมนตรีของเมืองลอส แอนเจลิส ได้ประกาศใช้คำสั่งพิเศษ (executive order) กับโปรแกรมที่เรียกว่า วิชั่น ซีโร่ หรือการตั้งเป้าหมายว่าจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตถรถยนต์ในเขตเมืองแอลเอให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2025 โดยตั้งเป้าเป็นสามระยะ คือลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ในปี 2017 และ 50 เปอร์เซ็นต์ในปี 2020 และร้อยเปอร์เซ็นต์ในปี 2025
ข่าวบอกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ทั้งหมดในปี 2017 ที่ลงลงเพียง 6 เปอร์เซ็นต์จากปีตั้งต้น (2015) ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่นายกเทศมนตรี ตั้งเอาไว้ค่อนข้างมาก สาเหตุหลักมาจากยอดผู้เสียชีวิตในกลุ่ม “คนเดินถนน” ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์นับจากปี 2015
แอลเอไทมส์ บอกว่าที่ผ่านมา หน่วยงานที่รับผิดชอบของเมืองแอลเอ ได้ศึกษาข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพื่อกำหนดจุดที่อันตรายที่สุดของคนเดินถนน และรถจักรยาน โดยในปี 2017 นั้นมีการ “เปลี่ยนแปลง” ในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นกับจุดอันตรายเหล่านี้มากกว่า 1,120 จุด รวมถึงถนนสายหลักที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น North Broadway ในไชน่าทาวน์, 3rd Street ในโคเรียนทาวน์ และ Sepulveda Blvd. ในย่านซานเฟอร์นานโด้ แวลเล่ย์
โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มีทั้งการปรับปรุงทางม้าลายให้เป็นแบบที่เรียกว่า scramble crosswalk หรือข้ามได้พร้อมกันจากทุกด้าน ขยายเวลาสัญญาณเดินข้ามถนน เพิ่มหรือเปลี่ยนป้ายสัญญาณจราจร โดยเฉพาะป้ายจำกัดความเร็ว ฯลฯ