หากผ่านการโหวตของคณะกรรมาธิการด้านสิทธิสัตว์ของเทศบาล (the Los Angeles City Board of Animal Services Commissioners) ในเดือนมีนาคม ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเมืองแอลเอ จะมี “หมาวีแกน” เพิ่มพรวดทีเดียวถึงกว่า 33,000 ตัว และทำให้แอลเอ ซึ่งมีศูนย์ดูแลสัตว์ใหญ่เป็นอันดับสองอเมริกา เป็นเมืองแรกที่เลี้ยงสุนัขในศูนย์ ด้วยอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ด้วยเหตุผลของเมตตาธรรม
เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่ “คนรักหมา” ทั้งในแอลเอและเมืองอื่นๆ ให้ความสนใจกันอย่างมาก และแน่นอนว่าเรื่องนี้มีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและคัดค้าน อ้างว่าทำในนามของ “น้องหมา” ที่ไม่สามารถมีปากมีเสียงในเรื่องนี้ได้...
ไอเดียนี้ ถูกนำเสนอต่อที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ โดยคอมมิชชั่นเนอร์ โรเจอร์ วูลฟ์สัน ซึ่งเป็นคนเขียนบทซีรีย์ดังๆ หลายเรื่อง รวมถึง Law & Order ด้วย โดยให้เหตุผลว่าการเปลี่ยนอาหารสุนัขในเชลเตอร์มาเป็นอาหารวีแกน จะลด “ปัญหาสุขภาพ” ของสุนัขลงได้หลายอย่าง ตั้งแต่โรคผิวหนังจนถึงมะเร็ง เพราะโดยธรรมชาติแล้ว สุนัขเป็นสัตว์ในกลุ่ม Omnivore หรือกินทั้งพืชและสัตว์ ไม่ใช่ Carnivore หรือสัตว์กินเนื้อ อย่างที่หลายคนเข้าใจ
โรเจอร์ วูลฟ์สัน บอกด้วยว่า นอกจากจะเป็นผลดีกับสุนัขแล้ว ยังเป็นผลดีทั้งด้านสภาพแวดล้อมและเมตตาธรรมด้วย เพราะการไม่ใช้อาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์เลี้ยงสุนัขในเชลเตอร์ของเมืองแอลเอ 33,000 ตัวนั้น หนึ่งปีสามารถละเว้นชีวิตไก่ได้กว่า 20,000 ตัว ไก่งวงกว่า 10,000 ตัว และแกะอีกประมาณ 1,000 ตัว
“การเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่าเป็นอาหารนั้น ควรจะเกินขึ้นเมื่อไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น” โรเจอร์ วูลฟ์สัน กล่าว
ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายกลุ่ม ทั้งบรรดาสัตวแพทย์ บรรดาชาววีแกน และกลุ่มสิทธิของสัตว์ต่างๆ ซึ่งมีมากมายมหาศาลในเมืองนางฟ้าแห่งนี้ รวมถึง โมบี้ นักร้องชื่อดังที่ลงทุนมาร่วมแสดงความคิดเห็นระหว่างการเฮียริ่งของคณะกรรมาธิการด้านสิทธิสัตว์ฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมาด้วย
ฝ่ายที่สนับสนุนเรื่องนี้ ได้ตั้งประเด็นขึ้นมาว่า ความเชื่อเรื่องสุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อ เกิดขึ้นพร้อมกับการถือกำเนิดของอาหารกระป๋องสำหรับสุนัข เป็นแผนการตลาดของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนเหลือใช้ เช่นเครื่องในสัตว์ ที่ผู้คนไม่นิยมบริโภค และว่าความเชื่อที่ฝังลึกมานาน ย่อมต้องใช้เวลานานในการเปลี่ยนแปลง แต่ทุกวันนี้ ความเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นแล้ว เห็นได้จากมีอาหารสุนัขที่ “หลากหลาย” มากขึ้นในท้องตลาด
สัตว์แพทย์หญิงรายหนึ่ง กล่าวกับข่าวของ เคทีแอลเอ (ช่อง 5) ว่าแม้สุนัขจะสืบสายพันธุ์มาจากหมาป่า แต่ก็มีระบบย่อยอาหารที่แตกต่างกัน โดยระบบย่อยของสุนัขสามารถย่อยคาร์โบไฮเดรทได้ดีกว่า และว่าสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายสุนัขต้องการนั้น สามารถรับได้จากพืช หรืออาหารเสริมสังเคราะห์ ที่ผสมอยู่ในอาหารได้
แต่ฝ่ายค้านก็มีไม่น้อย โดยคนที่ “เสียงดัง” ที่สุดในประเด็นนี้คือ เจอรามี พรูพาส หัวหน้าสัตวแพทย์ของเมืองแอลเอ (chief veterinarian) ที่แนะนำแบบฟันธงในที่ที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ ให้ “ปฏิเสธ” ข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่าอาจส่งผลให้สุนัขในความดูแลของเทศบาล มีอาการขาดโปรตีน แคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส ซึ่งจะเป็นอันตรายมากกับสุนัขที่บาดเจ็บ ตั้งท้อง หรืออยู่ในช่วงให้นมลูก โดยบอกด้วยว่าเขาได้ปรึกษานักโภชนาการของสัตว์และผู้เชี่ยวชาญหลายคน จากหลายสถาบัน ทุกคนลงความเหมือนกันว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
ตรงกับความเห็นของ ลิซ่า เอ็ม ฟรีแมน ศาสตราจารย์ด้านสัตวแพทย์ศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยทัฟส์ ในบอสตัน แสดงความเห็นเรื่องนี้กับนิวยอร์คไทมส์ (ที่สนใจนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเป็นไปในแอลเอ เช่นกัน) ว่า ถึงแม้ว่าโลกปัจจุบัน จะมีความก้าวหน้าเรื่องโภชนาการของสุนัขมากก็ตาม แต่ก็ยังมีเรื่องราวอีกเยอะที่ยังคงเป็นปริศนา
“เราต้องการให้สัตว์เลี้ยงของเราได้สารอาหารที่สมดุลย์ หมายถึงมีครบทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ในปริมาณที่ถูกต้อง ซึ่งไม่ง่ายเลยในการคิดสูตรอาหารของสุนัข และจะยิ่งยากมากขึ้นในกรณีของสูตรอาหารวีแกน”
เจอรามี พรูพาส หัวหน้าสัตวแพทย์ของเมืองแอลเอ ชี้อีกสองประเด็น ที่เขาเชื่อมั่นว่าจะทำให้ข้อเสนอเรื่องนี้ กระเด็นออกจากที่ประชุมนัดสุดท้าย ที่จะมีขึ้นในราวต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน
สองประเด็นที่ว่าคือ Price กับ Poop หรือราคา และอึสุนัข
ปัจจุบันนี้ เทศบาลเมืองแอลเอ มีสัญญาซื้ออาหารสุนัข (ยี่ห้อ Canidae Life Stages) จากยีปั้วใหญ่ในราคาปอนด์ละ 0.87 ดอลลาร์ เทียบกับราคาอาหารสุนัขวีแกน จากพ่อค้าเพียงเจ้าเดียวที่มีสัญญาซื้อขายกับเทศบาล ที่แพงกว่าถึงสี่เท่า... ซึ่งค่าใช้จ่ายของเทศบาลที่เพิ่มขึ้นเยอะแยะมากมายแบบนี้ หากมีการคำนวนเป็นตัวเลขที่ชัดเจนออกมาเป็นตัวตั้ง... เชื่อว่าคงทำให้ “โมเมนตั้ม” ของฝ่ายสนับสนุนเสียไปเหมือนกัน
ประเด็นอึสุนัขก็แรงไม่แพ้กัน โดยหัวหน้าสัตวแพทย์ของเมืองแอลเอ บอกว่าอาหารวีแกนนั้น มีใยอาหาร หรือไฟเบอร์ สูงมาก ส่งผลให้สุนัขในศูนย์ควบคุมฯ ทั้ง 33,000 ตัว อึเยอะ และอึบ่อย เกินกำลังที่เจ้าหน้าที่ของศูนย์ ซึ่งมีจำกัดจะทำความสะอาดและกำจัดกลิ่นได้ไหว
“เราทราบว่าสุนัขที่มีเจ้าของ สามารถอยู่ดีมีสุขกับอาหารสุนัขที่มีสารพัดชนิดในตลาด ทั้งอาหารประเภทมังสวิรัติ, ออกานิก, ไม่ผสมธัญพืช (grain-free), ไม่มีกลูเตน (gluten-free), ดิบ (raw) และวีแกน แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขกลุ่มนี้อยู่ในสภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสุนัขที่เราต้องดูแลอยู่ทุกวันในศูนย์ดูแลสัตว์ของเรา” เจอรามี พรูพาส สรุป...
ข้อโต้แย้งเรื่อง ควร หรือไม่ควร ที่จะเปลี่ยนอาหารสุนัขในศูนย์ดูแลสัตว์ทั้ง 33,000 ตัวเป็นอาหารวีแกน ได้ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ล่าสุดมี “เวทีออนไลน์” ให้กองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายออกเสียงกันแล้ว คือ www.thepetitionsite.com/430/872/178/tell-los-angeles-dog-shelters-to-go-vegan/ สำหรับกลุ่มที่เห็นด้วย และ www.change.org/p/dogs-are-not-vegan-a-petition-to-the-la-city-mayor-city-attorney-and-ethics-commission สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย...
พวกเราชาว “ด็อกเลิฟเวอร์” ในเมืองแอลเอ หากอยากแสดงความเห็น จะคัดค้านหรือสนับสนุน ก็ตาม สามารถลงชื่อกับกลุ่มที่เราเห็นด้วยบนเว็บไซต์ทั้งสองนี้เลย...