รายงานชื่อ INRIX 2017 Traffic Scorecard ของบริษัท INRIX ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้อมูลการขนส่ง เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บอกว่า ลอส แอนเจลิส ครองแชมป์เมืองใหญ่ ที่มีปัญหารถติดในช่วงเวลาเร่งด่วนมากที่สุดในโลก โดยตลอดปี 2017 ที่ผ่านมานั้น ผู้ใช้รถในลอส แอนเจลิส ต้องใช้เวลากับการขับรถมากถึง 102 ชั่วโมง นอกจากนี้ เส้นทางที่มีปัญหารถติดหนักที่สุดในอเมริกาของรายงานฉบับนี้ก็อยู่ในลอส แอนเจลิส เช่นกัน นั่นคือฟรีเวย์ 10 ช่วงระหว่าง 405 และ 110

ส่วนอันดับสองของเมืองที่มีปัญหารถติดมากที่สุดในโลกได้แก่นิวยอร์ค และกรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย ที่ผู้คนใช้เวลาบนท้องถนนตลอดปี 91 ชั่วโมงเท่ากัน

รายงานฉบับนี้บอกด้วยว่า ปัญหารถติด ทำให้คนขับรถในอเมริกาต้องจ่ายเงิน ทั้งทางตรงและทางอ้อมเกือบ 305 พันล้านดอลลาร์ในปี 2017 หรือ 1,445 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี

ส่วนประเทศไทยนั้น รายงานของ INRX บอกว่าเป็นประเทศที่มีปัญหารถติดมากที่สุดในโลก (38 ประเทศ) โดยระบุว่าผู้ใช้รถใช้ถนนในประเทศไทย ต้องใช้เวลาอยู่หลังพวงมาลัยมากถึงปีละ 56 ชั่วโมงในช่วงเวลาเร่งด่วน ส่วนอันดับสองคืออินโดนีเซีย (51 ชม.) ตามด้วยโคลัมเบีย (49 ชม.) เวเนซุเอล่า (42 ชม.) และรัสเซีย กับสหรัฐฯ ครองอันดับห้าร่วมกัน ที่ 41 ชั่วโม

แต่ถ้าดูเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว (developed nations) รายงานของ INRX บอกว่าประเทศที่มีปัญหารถติดในช่วงเวลาเร่งด่วนมากที่สุดคือสหรัฐฯ และรัสเซีย ที่ผู้ใช้รถต้องเสียเวลากับปัญหารถติดปีละ 41 ชั่วโมงเท่ากัน

นอกจากนี้ รายงานปัญหาจราจรของ INRIX ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาจราจรในเมืองใหญ่ 1,360 เมืองใน 38 ประเทศทั่วโลก ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น
 
ลอส แอนเจลิส ถือเป็นเมืองที่มีปัญหารถติดมากที่สุดในโลกต่อเนื่องกันเป็นปีที่หก โดยชาวเมืองแอลเอ ต้องใช้เสียเวลากับปัญหารถติดมากถึง 102 ชั่วโมงในปี 2017

มีเมืองใหญ่ในอเมริกาติดอันดับ “ท็อป 25” เมืองที่มีปัญหารถติดที่สุดในโลกถึง 10 เมือง

เมืองที่แก้ไขปัญหาจราจรได้ดีที่สุด คือ เซาท์ เบนด์ ในรัฐอินเดียน่า เพราะลดจำนวนชั่วโมงของผู้ใช้รถในช่วงเวลาเร่งด่วนลงได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2016 และอีกสองเมืองในเท็กซัส เอล พาโซ่ (ลดลง 13 เปอร์เซ็นต์ และดัลลัส (ลดลง 9 เปอร์เซ็นต์)

เกี่ยวกับรายงานปัญหาการจราจรดังกล่าวนี้ โฆษกของสำนักงานขนส่งมวลชนของรัฐแคลิฟอร์เนีย (Calrans) แสดงความเห็นว่าเป็นเพราะระบบฟรีเวย์ของลอส แอนเจลิส ไม่เพียงพอต่อปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และว่าระบบฟรีเวย์ของเมืองแอลเอ ถูกวางแผนในยุค 1950s ซึ่งเป็นยุคที่มีคนอาศัยอยู่ในเมืองไม่มากนัก ดังนั้นอัตราการเติบโตของประชากร ที่เชื่อว่าจะมากถึง 50 ล้านคนในปี 2050 จึงเกินกว่าที่ระบบฟรีเวย์ของเมืองแอลเอ จะรองรับไหว

โฆษกของ แคลทรานส์ ยังบอกด้วยว่าปัจจุบันนี้ ทางสำนักงานได้ติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ และมิเตอร์นับจำนวนรถยนต์บนระบบฟรีเวย์ของเมืองแอลเอ มากกว่า 50,000 เครื่อง เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถระบายรถเพื่อแก้ไขปัญหารถติดได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ตาม แคลทรานส์ ระบุว่าการแก้ไขปัญหาจราจร จะทำได้ยาก หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน

“ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถมีส่วนร่วมได้โดยการตรวจสอบปัญหาจราจรก่อนออกจากบ้าน หรือใช้คาร์พูล หรือใช้บริการขนส่งมวลชน” โฆษกของสำนักงานขนส่งมวลชนของรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าว