ซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2018 ว่า วุฒิสมาชิก ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์โดยการเป็น ส.ว.คนแรกของสหรัฐฯ ที่ให้กำเนิดทายาทระหว่างอยู่ในตำแหน่ง หลังจากที่ ส.ว.ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แจ้งข่าวดีว่ากำลังตั้งครรภ์ “ลูกสาว” คนที่สอง โดยมีกำหนดคลอดในฤดูใบไม้ผลินี้
“ไบรอันกับฉันรู้สึกตื่นเต้นมากที่ครอบครัวของเราจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และอบิเกล ก็ตื่นเต้นมากที่ได้ต้อนรับน้องสาวคนเล็กของเธอในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้” ส.ว.ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ แถลง และบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการเป็นแม่และเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน แต่ครอบครัวของเธอก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียว ที่ต้องทำงานกันทั้งคู่ (working parent)
และอบิเกล ก็ยิ่งทำให้ฉันอุทิศตัวให้กับงานและยืนหยัดเพื่อครอบครัวที่ทำงานหนักในทุกๆ ที่มากขึ้น” ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ ระบุ
ซีเอ็นเอ็น อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานของ ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ ว่าเธอมีกำหนดคลอดลูกสาวคนที่สองในช่วงปลายเดือนเมษายน นี้ และว่าที่ผ่านมา มีผู้หญิงเพียงสิบคน ที่ให้กำเนิดทายาทระหว่างที่ทำงานอยู่ในสภาคองเกรส และลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ เป็นเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลต้องปิดตัวเองชั่วคราว (government shutdown) ส.ว.เลือดไทยผู้นี้ได้ปรากฎเป็นข่าวใหญ่ของอเมริกา จากการ “ประณาม” ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลางสภา ว่าเป็นคนที่หนีทหารถึงห้าครั้ง (five-deferment draft dodger) เป็นการตอบโต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ได้ทวิตข้อความกล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้รัฐบาลต้องปิดตัวเองชั่วคราว โดยใช้คำว่า “เดโมแครต กำลังยึดเอากองทัพของเราเป็นตัวประกัน”
“เขากล่าวโทษเดโมแครตอย่างดิฉันว่าไม่สนใจทหารของเรา... ดิฉันอุทิศชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดของดิฉัน ในการดูแลสวัสดิการ การฝีกซ้อม และติดอาวุธให้กองกำลังที่ดิฉันรับผิดชอบ” เธอประกาศ “แต่น่าเศร้าที่เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผู้ที่ครอบครองห้องทำงานรูปไข่ขณะนี้ ไม่สนใจที่จะทำ และฉันจะไม่ฟังคำสอน (lectured) ถึงสิ่งที่กองทัพของเราต้องการจากคนที่หนีทหารถึงห้าครั้งหรอก”
โดยลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ เรียกประธานาธิบดีทรัมป์ว่า Cadet Bone Spurs (นักเรียนนายร้อยกระดูกงอก) เพราะเขาเคยขอผ่อนผันการเกณฑ์ทหารในช่วงสงครามเวียดนาม โดยอ้างว่าเป็นกระดูกงอกที่ส้นเท้า ก่อนจะขอผ่อนผันอีกสี่ครั้งระหว่างเรียนหนังสือ
“ฉันมีข้อความสำหรับนักเรียนนายร้อยกระดูกงอก... ถ้าคุณแคร์ทหารของเรา ก็หยุดการท้าทาย คิม จอง อึน ให้มาทำสงคราม ที่จะทำให้ทหารอเมริกัน 85,000 คน และพลเรือนผู้บริสุทธิ์อีกหลายล้านคนต้องอยู่ในอันตราย”
โดยในช่วงท้ายของการอภิปรายในรัฐสภาครั้งนั้น ส.ว.เลือดไทยสรุปว่าเธอขอเรียกร้องให้ทั้งสองพรรค คือทั้งรีพับลิกันและเดโมแครต เร่งหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อยุติการชัทดาวน์ ครั้งนี้
“หยุดกล่าวโทษซึ่งกันและกัน และลงมือทำงานกันเถอะ” เธอกล่าว
ทั้งนี้ ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ด มีตำแหน่งเป็น “พันโทหญิง” แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ เป็นทหารหญิงคนแรกที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างระหว่างปฏิบัติหน้าที่นักบินเฮลิคอปเตอร์ในสงครามอิรัก เมื่อปี 2004 และเมื่อรักษาร่างกายจนฟื้นคืนสู่ปกติแล้วเธอก็อุทิศตัวทำงานเพื่อทหารผ่านศึกอย่างจริงจัง จนได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงสมัครเป็น ส.ส.ที่รัฐอิลินอยส์ ในการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อปี 2006 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และอีกสองปีต่อมา ประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า ได้แต่งตั้งเธอเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึก
ในปี 2012 ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ ได้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต 8 รัฐอิลลินอยส์ อีกครั้ง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนไทยในอเมริกา โดยเฉพาะในแอลเอ และชิคาโก้ และเมื่อผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2012 ปรากฎออกมาว่าเธอสามารถเอาชนะคู่แข่ง คือโจ วอลช์ จากพรรครีพับลิกัน ได้แบบขาดลอย (55 ต่อ 45 เปอร์เซ็นต์) ก็ทำให้ประเทศสหรัฐฯ มีส.ส.หญิงเชื้อสายไทยเข้าทำงานรับใช้ชาติในสภาคองเกรส เป็นคนแรก
สี่ปีต่อมา ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ ก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง โดยการเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิก จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016 โดยเธอเอาชนะวุฒิสมาชิก มาร์ค เคิร์ค เจ้าของเก้าอี้จากพรรครีพับลิกัน ไปอย่างขาดลอย 54.8 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 29.9 เปอร์เซ็นต์
และตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง เธอได้ทำหน้าที่ของเธออย่างแข็งขัน และโดดเด่น จนกระทั่งสื่อหลายๆ ค่าย รวมถึงนิตยสารนิวยอร์คเกอร์ บอกว่าเธอคือ “ผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุด” ในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 โดยบอกว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง โอกาสที่ประเทศอเมริกาจะมีประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ ก็สูงมาก เพราะลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ มีคุณสมบัติ มีความสามารถ และมีเครดิตครบถ้วน นอกจากนี้ นิวยอร์คเกอร์ ยังบอกด้วยว่าการเลือกตั้งปี 2020 นั้น ชาวอเมริกันพร้อมที่จะมีผู้นำเป็นผู้หญิงมากที่สุด เพราะในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น “ประเด็นของผู้หญิง” หรือ women’s issues ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างสิ้นเชิง.