เว็บไซต์ เดลี่เมล์ ของอังกฤษ เสนอข่าวนี้เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยขึ้นต้นว่าเด็กชายวัย 12 ปี ชื่อ “ลูค วิลเลี่ยม” จะไม่มีโอกาสได้พบแม่ในวันคริสต์มาส เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของ โฮมออฟฟิศ (อิมมิเกรชั่น) ปฏิเสธวีซ่าของนางกันยารัตน์ วิลเลี่ยม แม่เชื้อสายไทยของเขาถึงสองครั้งในช่วงที่ผ่านมา
ข่าวบอกว่า นางกันยารัตน์ แต่งงานกับ เควิน วิลเลี่ยม ชาวเมืองแลนดัดโน่ (Llandudno) ประเทศเวลส์ เมื่อปี 2002 ที่เกาะสมุย จากนั้นก็อพยพมาอยู่ด้วยกันที่เมืองแลนดัดโน่ ในช่วงระหว่างปี 2003-2006 โดยมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน คือ ลูค วิลเลี่ยม ที่ปัจจุบันมีอายุ 12 ปี
ปี 2006 ครอบครัววิลเลี่ยม ตัดสินใจโยกย้ายกลับไปทำธุรกิจที่ประเทศไทย โดยอยู่ที่นั่นจนถึงปี 2014 (2549) ซึ่งเป็นปีที่มีการทำรัฐประหาร โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เกิดขึ้น ทำให้เขาเริ่มคิดที่จะโยกย้ายครอบครัวกลับเวลส์
“ตอนนั้น ผมคิดว่ากลับมาเวลส์ น่าจะปลอดภัยกว่าสำหรับครอบครัวของเรา และตัดสินใจย้ายกลับมาก่อนตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่แล้ว เพื่อจะได้จัดเตรียมความพร้อมก่อนที่กันยารัตน์กับลูค จะตามมา” เควิน วิลเลี่ยม กล่าว
พ่อชาวเวลส์ บอกต่อไปว่าลูกชายของเขา เดินทางมาถึงเวลส์เมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ตอนนี้เข้าเรียนที่ จอห์น ไบรท์ สกูล ในเมืองแลนดัดโน่ แต่อยู่ในสภาพที่ “คิดถึงแม่” อย่างรุนแรง
เควิน บอกว่าเขาทำงานเป็นพนักงานขับรถส่งของ และทำงานหนักเพื่อเก็บเงินสำหรับวีซ่าคู่สมรส (spouse visa) ซึ่งสูงหลายพันปอนด์ แต่ในระหว่างเก็บเงินก้อนอยู่นี้ เขาได้ให้ภรรยายื่นขอวีซ่านักท่องเที่ยว สำหรับเดินทางมาอยู่ร่วมกับครอบครัวในช่วงคริสต์มาสนี้ก่อน โดยวีซ่าท่องเที่ยวของอังกฤษนั้น โดยปกติจะมีอายุประมาณ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม สำนักงานโฮมฮอฟฟิศ ได้ปฏิเสธไม่ให้นางกันยารัตน์ เข้าประเทศ ด้วยเหตุผบว่ายังไม่พอใจกับหลักฐานต่างๆ รวมถึงไม่เชื่อว่านางกันยารัตน์ จะกลับประเทศไทยตามระยะเวลาที่กำหนด
เควิน วิลเลี่ยม บอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างความยากลำบากให้กับทุกคนในครอบครัว “ไม่น่าเชื่อว่า คนๆ หนึ่ง ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักหน้า นั่งทำงานอยู่หลังโต๊ะ แต่มีอำนาจมากพอที่จะแยกครอบครัวออกจากกันได้... ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามให้ผมตัดสินเลือกระหว่างประเทศของผมกับภรรยาที่อยู่กินกันมา 15 ปี”
เควิน วิลเลี่ยม ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวกับการตัดเย็บเสื้อผ้าร่วมกับภรรยาที่เมืองไทย บอกว่าภรรยาของเขาได้ยื่นขอวีซ่ารวมสามครั้ง โดยครั้งแรก ยื่นขอวีซ่าในฐานะเป็นพลเมืองของเวลส์ แบบที่เรียกว่า returning ressident แต่ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าเธอออกไปอยู่นอกประเทศนานเกินสองปี
ปัญหายุ่งยากที่เกิดขึ้น ทำให้เควิน และภรรยา ตัดสินใจไม่ขายบ้านและธุรกิจในเมืองไทยตามที่ตั้งใจไว้ โดยใช้หลักทรัพย์ที่มีเป็นเครื่องค้ำประกันในการขอวีซ่านักท่องเที่ยว อันเป็นการยื่นขอวีซ่าครั้งที่สองแทน แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นเดียวกัน ด้วยสาเหตุว่าไม่เชื่อใจว่านางกันยารัตน์ จะยินยอมกลับประเทศไทยตามเวลาที่กำหนด
การขอวีซ่าครั้งที่สาม ถูกปฏิเสธเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลเดียวกัน ซึ่ง เควิน วิลเลี่ยม บอกว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเขาดูแลการยื่นเอกสารให้กับภรรยาทุกขั้นตอน มีการยื่นหลักฐานการทำธุรกิจ บัญชีเงินฝากในธนาคาร ทั้งของเขาและของภรรยา รวมถึงจดหมายของเขารับรองว่าจะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ประกันภัย อาหารและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังมีหนังสือรับรองจากพี่เขยของเขา ว่าจะสนับสนุนทางการเงิน หากทางรัฐบาลต้องการ แต่บรรดาเอกสารเหล่านี้กลับไม่ได้รับความสนใจใดๆ
“เหตุผลในการปฏิเสธครั้งที่สาม คือบอกว่าภรรยาผมมีเงินในบัญชีน้อยไป ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ดูดีๆ จะเห็นว่าเธอมีเงินบัญชีสะสมทรัพย์ในเมืองไทย 4,700 ปอนด์ (ประมาณ 6,300 ดอลลาร์) ส่วนผมมีประมาณ 5,000 ปอนด์ (6,700 ดอลลาร์)ในอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งแปลว่าเรามีเงินมากพอที่เขาจะยอมให้วีซ่า”
เควิน วิลเลี่ยม บอกว่าก่อนจะขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน เขาได้ติดต่อโดยตรงกับรัฐมนตรี แอมเบอร์ รัดด์ ซึ่งดูแลงานของโฮม ออฟฟิศ ด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันวันคริสมาสต์แล้ว
“ตอนนี้ ลูกชายผมร้องไห้ ภรรยาผมก็ร้องไห้ และผมไม่รู้จักหันหน้าไปทางไหนแล้ว” เควิน วิลเลี่ยม กล่าว
โฆษกของสำนักงานโฮม ออฟฟิศ แจ้งกับเดลี่เมล์ ว่าแบบฟอร์มยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศแต่ละฉบับ จะถูกพิจารณาตามความเหมาะสม และสอดคล้องกับกฎระเบียบของสำนักงานด้วย.