รอยเตอร์ รายงานข่าวเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทุ่มเงินลงทุนมากกว่า 80 ล้านดอลลาร์ในตลาดต่างประเทศ และว่าที่น่าจับตาที่สุดคือการเข้าถือหุ้น 35 เปอร์เซ็นต์ของเครือโรงแรม (Hotel chain) สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชันแนล ของอเมริกา มูลค่า 58 ล้านดอลลาร์
โดยโรงแรมสแตนดาร์ด ซึ่งใช้ป้ายชื่อกลับหัวเป็นเอกลักษณ์ ให้บริการในสไตล์ “บูติก โฮเทล” มีทั้งหมดห้าแห่ง คือในลอส แอนเจลิส สองแห่ง (ฮอลลีวูด และดาวน์ทาวน์) ในนิวยอร์ค สองแห่ง (มีทแพ็คกิ้ง ดีสทริค และอีทส์ วิลเลจ) และไมอามี อีกหนึ่งแห่ง โดยกำลังจะเปิดอีกหนึ่งแห่งในกรุงลอนดอน พร้อมๆ กันนี้ แสนสิริ จะร่วมลงทุนในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น “วัน ไนท์” สำหรับการจองโรงแรมแบบนาทีสุดท้าย เพื่อเข้าพักในวันเดียวกันโดยมีโรงแรมไลฟ์สไตล์จากทั่วโลกให้เลือกอีกด้วย
ขณะเดียวกัน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ได้นำเสนอข่าวของ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่บอกว่ากำลังหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก และเป็นการผลักดันแสนสิริ ให้ก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลก และเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ผู้บริหารของบริษัทแสนสิริ กล่าวด้วยว่า ตนให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือ 1. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย ( PropTech) ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำ และ 3. การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม
โดยการซื้อหุ้น 35 เปอร์เซ็นต์ของ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชันแนล คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่น เพื่อสร้างพันธมิตรในธุรกิจหลากหลาย
นอกจากนี้ แสนสิริ ยังเข้าถือหุ้น 5.9 เปอร์เซ็นต์ของสำนักพิมพ์ในลอนดอน ชื่อ โมโนเคิล แมกกาซีน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจด์สื่อและรีเทลระดับโลก คลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการ ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงแสนสิริเข้ากับกลุ่มลูกค้าในตลาดนานาชาติ ได้ทั่วโลก และ 9.09 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท JustCo. ของสิงคโปร์ ผู้ให้บริการ “โคเวิร์คกิ้ง สเปซ” ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการ 11 แห่ง และมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 20 แห่งในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2561
ผู้บริหารแสนสิริ กล่าวว่าในอนาคตอันใกล้ องค์กรขนาดใหญ่จะหันมาใช้สถานที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซมากขึ้น จึงวางเป้าหมายให้ จัสท์โค ขยายการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปีหน้าจะร่วมกันเปิดตัว จัสท์โค 4 แห่งในกรุงเทพฯ เช่นอาคารเอไอเอ สาทร และ เอไอเอ แคปปิตอล รัชดาฯ รวมทั้งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเอเชีย
นอกจากนี้ แสนสิริ ยังได้ถือหุ้น “โฮสต์เมกเกอร์” (Hostmaker) 13 เปอร์เซ็นต์ โดยโฮสต์เมกเกอร์ เป็นบริษัทผู้ให้บริการดูแลการเช่าที่พักอาศัย และบริหารการจองที่พัก เพราะเล็งเห็นเทรนด์ home-sharing หรือการแบ่งที่พักอาศัยให้เช่ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้บริการด้านบริหารที่พักอาศัยเติบโตตามไปด้วย
โฮสต์เมกเกอร์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในลอนดอน ดำเนินธุรกิจในลอนดอน โรม ปารีส และบาเซโลน่า โดยให้บริการลูกค้าผู้พักอาศัยมาแล้วกว่า 1.5 แสนคนทั่วโลกและมีแผนจะขยายธุรกิจสู่เอเชียภายใต้การสนับสนุนของแสนสิริ ด้วย
ข่าวบอกว่า แสนสิริ ยังเข้าถือหุ้นใน ฟาร์มเชลฟ์ (Farmshelf) 5.8เ เปอร์เซ็นต์ โดยฟาร์มเชลฟ์ เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับการปลูกผักในที่พักอาศัย โดยแสนสิริ จะนำนวัตกรรมดังกล่าวมาใช้ในโครงการที่พักอาศัยทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดด้วย.