คำว่า ปวารณา คือ บอกเปิดโอกาสแก่ผู้อื่น ให้บอกกล่าวตักเตือนได้ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการบอกกล่าวตักเตือนนั้น ได้กลับมาทบทวนตนเอง ศึกษาข้อดีข้อด้อยของตนเอง ปรับลด เลิกละข้อด้อย เพิ่มเติมส่งเสริมข้อดีให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อีกประการหนึ่ง การปวารณา คือ การทบทวนความสัมพันธ์ของพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาร่วมกันว่ามีการกระทบกระทั่งกันบ้างหรือไม่อย่างไร หากมีการกระทบกระทั่งกันบ้างก็จะได้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องปรับทัศนคติให้ถูกตรงและอยู่ร่วมกันด้วยความสมัครสมานสามัคคีต่อไป
ในสมัยโบราณ เมื่อพระสงฆ์จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสแล้ว มักจะจาริกไปประกาศธรรมในสถานที่ต่างๆ ยามอยู่ร่วมกันอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง หรือ การปฏิบัติตนในวัตรบางอย่างอาจจะไม่ลงรอยกันอย่างสนิทสนมกลมกลืนนัก เพราะต่างคนต่างมาจากต่างที่ต่างถิ่นมาอยู่ร่วมกัน ล้วนมีข้อแตกต่างบ้างเป็นธรรมดา ก่อนที่จะจากกันก็เปิดใจบอกกล่าวตักเตือนกัน เพื่อให้เงื่อนปมในใจอันเป็นเหตุแห่งความไม่สบายใจได้หลุดร่วงไป จะได้เดินทางจาริกไปด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งราบรื่นสดชื่น ไม่มีความรู้สึกไม่ดีที่ติดค้างกันแต่อย่างใด เมื่อทำความเข้าใจกันแล้วจะได้ขอขมาลาโทษ เพื่อการเริ่มต้นมุ่งมั่นสร้างสรรค์ความดีเพื่อความเจริญก้าวหน้าตามธรรมวิถีต่อไป
วิธีการตักเตือนหรือบอกกล่าว ต้องใช้วิธีการสื่อสารที่ดี มีความเมตตา มีความปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง บอกกล่าวตักเตือนไปด้วยความรู้สึกอยากช่วยเหลือจริงๆ ด้วยเจตนาอันประกอบด้วยกรุณาว่า หากท่านผู้นี้ได้แก้ไขพฤติกรรมเช่นนี้ได้แล้วจะมีความเจริญก้าวหน้าในพระธรรมวินัย จะมีความปลอดภัยในการทำหน้าที่ของตนๆสืบไป
เหตุที่จะนำมาอ้างตักเตือนมี 3 ประการ คือ เห็นกับตา ได้ยินกับหู และสงสัยจากการพิจารณาเหตุปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมหลายอย่างประกอบกันเข้า แล้วกล่าวตักเตือนด้วยเมตตากรุณา
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องผู้ชี้ช่องหรือชี้ทางที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณานี้ว่า เป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ ทรงตรัสไว้ชอบแล้วจริงๆ พฤติกรรมบางอย่างหากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้จะกลายเป็นทรัพย์ แต่หากไม่นำพาฟังเสียงตักเตือนทักท้วงจะกลายเป็นความเสื่อมในที่สุด
หากเข้าใจความหมายของคำว่า ปวารณา แบบวิถีพุทธแล้ว ทุกครั้งที่มีใครเข้ามาตักเตือน เท่ากับเขามามอบทรัพย์ให้ ต้องเก็บคำเตือนนั้นไว้เหมือนทรัพย์อันล้ำค่า แล้วค่อยๆพัฒนาตนเองด้วยความสำรวมระวังต่อไป หากเคยผิดพลาดประการใดก็แก้ตัวใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
หลวงพ่อพุทธทาสให้ทัศนะว่า การชี้แนะตักเตือน คือ การขับเคลื่อนสู่ความก้าวหน้าในทุกกิจกรรมและหน้าที่
เรื่องการปวารณา สามารถจะนำมาใช้ในการขับเคลื่อนครอบครัว ชุมชนและสังคมได้เป็นอันดี เพราะทุกสังคมไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ต้องการขับเคลื่อนองค์กรของตนให้ก้าวไปข้างหน้า การช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันเสนอแนะ หาทางออกร่วมกันย่อมสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
แม้ในระดับชาติ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของทุกประเทศแต่โบราณกาลมา ต้องการการชี้แนะจากท่านผู้รู้ปัญหาที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างถูกจุดและตรงประเด็น รัฐบาลต้องปวารณาต่อสภานิติบัญญัติให้สามารถตรวจสอบ ติดตามแนะนำนโยบายที่รัฐบาลดำเนินไปได้ตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาใหญ่น้อยต้องเปิดสภาเพื่อแนะนำและปรึกษาหารือกัน และผู้นำต้องเปิดใจฟังคำแนะนำด้วยความเคารพ อ่อนน้อมถ่อมตน และอดทนอย่างยิ่ง
ฝ่ายค้าน หรือ ฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องตั้งจิตเมตตาแสดงภูมิปัญญา เพื่อหาทางออกร่วมกันให้บ้านเมืองได้ฟันฝ่าอุปสรรคและวิกฤตการณ์ที่เผชิญหน้าอยู่ มิใช่คิดเพียงแต่ล้มล้างหรือช่วงชิงอำนาจ โดยขาดความคิดสร้างสรรค์ใดๆ
สรุปว่า การปวารณา คือ การเปิดใจ เปิดโอกาส ด้วยความเสียสละทุกเมื่อต่อผู้ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ต่อผู้ร่วมงานในองค์กรหรือเพื่อประโยชน์แห่งสาธารณชน หรือ อุทิศตนเองเพื่อความสุขร่วมกัน ล้วนอยู่ในขอบข่ายของการปวารณาทั้งหมดทั้งสิ้น
สรุปว่า การปวารณา คือ ต่างฝ่ายต่างเปิดใจให้ช่วยกันคิด และยอมรับความคิดเพื่อการพัฒนาจิตใจ พัฒนาชีวิต พัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม พัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้า เพื่อความผาสุกร่วมกันด้วยใจมุ่งมั่นปวารณา
ในวาระวันสำคัญทั้งวันปวารณาและวันออกพรรษามาบรรจบอีกครั้งขอให้ท่านที่ได้มาประสบพบและอ่านบทความนี้จงมีแต่ความเจริญ ก้าวหน้า สำเร็จ ในการศึกษาและหน้าที่การงาน มีแต่ความสุขสำราญ เบิกบาน สงบร่มเย็นใต้ร่มธรรมของพระพุทธเจ้าตลอดไป
วันที่ 7 ตุลาคม 2560 เวลา 4.07 น.ยามบ่าย
ณ สนามบิน ซานฟรานซิสโก เพื่อรอต่อเครื่องบินไปแสดงธรรมในงานกฐินพระราชทานในวันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2560 ณ วัดอตัมมยตาราม เมืองวูดดินวิลล์ รัฐวอชิงตัน