ตามตำนานกล่าวไว้ว่า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 7 พรรษา จึงได้เสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในการแสดงธรรมครั้งนี้ เทวดาจากสวรรค์ชั้นต่างๆเหลือคณานับได้พากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมร่วมกับพระพุทธมารดา
พระองค์ทรงพิจารณาว่า พระคุณของพระมารดานั้นมีค่ามากนักเหนือพระคุณใดๆ จึงทรงเลือกเฟ้นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าพระอภิธรรม ความยิ่งใหญ่ของพระอภิธรรมนั้นยิ่งใหญ่โดยเนื้อหาที่กล่าวถึง ปรมัตถสภาวธรรม คือ ความจริงอันสูงสุดบนหลักสี่ประการคือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
พระอภิธรรมยิ่งใหญ่โดยปริมาณคือ เมื่อเปรียบเทียบจำนวนพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงตลอดพระชนม์ชีพรวม 84,000 พระธรรมขันธ์ พระอภิธรรมเพียงอย่างเดียวที่พระองค์ทรงแสดงเพียงสามเดือนมีจำนวนถึง 42,000 พระธรรมขันธ์
พระพุทธองค์ได้เลือกสรร สิ่งที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดจากองค์แห่งธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มอบเป็นเครื่องสักการะบูชาพระคุณของพระมารดา
พระองค์ใช้เวลาสามเดือนแสดงพระอภิธรรมแก่พระมารดาและจอมเทพทั้งหลายที่มาประชุมพร้อมกัน เมื่อแสดงธรรมจบ พระมารดาบรรลุเป็นพระโสดาบัน ส่วนเทพยดาอื่นๆได้บรรลุธรรมตามอัธยาศัยนับไม่ถ้วน
ในการแสดงธรรมครั้งนี้ท้าวสักกะจอมเทพแห่งสวรรค์ ถวายความสะดวกทุกประการ เรียกภาษามนุษย์ว่า ท้าวสักกะเป็นเจ้าภาพใหญ่ในงานฟังธรรมครั้งใหญ่ครั้งนี้ แค่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าภาพใหญ่ การฟังธรรมครั้งนี้ก็ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาทันที
การจัดฟังธรรมครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่เพราะเหล่าเทพยดาจากหมื่นจักรวาลมาร่วมฟังด้วย เรียกว่า เป็นงานใหญ่เพราะผู้ฟังธรรมนั้นมาจากสถานที่ใหญ่ คือ สวรรค์ชั้นต่างๆ และเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยบุญที่สะสมไว้ดีแล้ว พระธรรมที่ฟังก็ยิ่งใหญ่คือ พระอภิธรรม ผู้แสดงธรรมก็ยิ่งใหญ่คือ พระพุทธเจ้าที่จอมเทพพากันขนานพระนามพระองค์ว่า เทวาติเทพ แปลว่า เทพที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพและจอมเทพทั้งปวง
เหตุแห่งการปรารภเพื่อแสดงธรรมก็ยิ่งใหญ่ คือ แสดงธรรมตอบแทนพระคุณแม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า การตอบแทนคุณพ่อแม่ทุกอย่างด้วยการเลี้ยงดู เชื่อฟัง ช่วยภารกิจใดๆอย่างมากมายก็ตอบแทนบุญคุณไม่หมด มีทางเดียวที่ลูกจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้คือ ยังท่านให้ตั้งอยู่ในมรรคผล เพื่อการพ้นไปจากทุกข์สิ้นเชิงแท้จริง
แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงยกย่องธรรมว่า เป็นเลิศกว่าทรัพย์สินทั้งปวงที่มนุษย์พึงมี อันธรรมดาทรัพย์สินสมบัติทั้งหลายใช้จ่ายได้เพียงอำนวยความสะดวกทางกายเท่านั้น เป็นความสุขสบายชั่วครู่ชั่วยาม ตราบใดกิเลสน้อยก็ตามใหญ่ก็ตามยังดำรงอยู่ ความทุกข์ก็จะตามมาบีบรัดขบกัดอยู่ร่ำไป แต่ถ้าเมื่อใด กิเลสสิ้นไปแล้ว ความสุขนิรันดร์ก็พลันปรากฏ
เมื่อพระองค์แสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาจนได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว คือ การส่งพระพุทธมารดาเดินเข้าสู่ทางแห่งพระนิพพานอย่างมั่นคงถาวรแน่แท้แล้ว จึงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในวันออกพรรษา
ชาวพุทธเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้วว่า วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 เป็นวันปวารณาออกพรรษา คือ เป็นวันที่พระสงฆ์ทำสังฆกรรมเปิดใจให้ตักเตือนแก่กันและกันได้ด้วยความเมตตานุเคราะห์ เพื่อความก้าวหน้าแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ พอรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง เป็นวันแรม 1 ค่ำเรียกว่า วันออกพรรษา
เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงพระอภิธรรมครบถ้วน ยังพระพุทธมารดาและเทพยดาทั้งหลายให้ดำรงอยู่ในมรรคผลตามพระพุทธประสงค์แล้ว เช้าวันแรม 1 ค่ำจึงกำหนดกลับมนุษยโลก
ท้าวสักกะเจ้าภาพใหญ่ ได้เนรมิตบันได 3 ชนิด คือ บันไดเงิน ไว้ทางด้านซ้ายสำหรับท้าวมหาพรหมเสด็จ บันไดแก้ว ตรงกลางถวายพระพุทธเจ้า บันไดทอง ด้านขวา เป็นทางตามเสด็จของเหล่าเทพเทวาทั้งหลาย ครั้นได้เวลาบันไดทั้งสามจึงหย่อนลงมาที่เมืองสังกัสสะ ประชาชนและเทพยดาทั้งหลายได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้ากันอย่างมากมายนับไม่ถ้วน
พระพุทธเจ้าเสด็จลง ณ สังกัสสนครแล้วทรงเนรมิต อจลเจดีย์ คือ รอยพระพุทธบาทเอาไว้ ณ ที่นั้น เมื่อทรงเห็นว่าสมาคมนี้เป็นมหาสมาคมที่ยิ่งใหญ่อันเทวดาและมนุษย์มารวมกันอยู่พร้อมหน้า พระองค์จึงทรงเปิดโลก คือ เปิดให้มนุษย์ได้เห็นเทวดา เห็นสวรรค์และเห็นนรก และต่างฝ่ายต่างได้เห็นซึ่งกันและกัน
โลกทั้งสามถูกเปิดออกมา คือ มนุษยโลก เทวโลก และยมโลก มนุษย์ในที่นั้นสามารถมองเห็นสวรรค์และชาวสวรรค์ได้ ขณะเดียวกันไฟนรกก็ดับลงชั่วคราว มนุษย์สามารถเห็นสัตว์นรกได้ พระอิทธิปาฏิหาริย์นี้เรียกว่า โลกวิวรณปาฏิหาริย์ แปลว่า ปาฏิหาริย์เปิดโลก หรือ เรียกวันนี้กันมาแต่โบราณอีกชื่อหนึ่งว่า วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก
ความประทับใจส่วนตัวเรื่องพระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาตามประสาคนรักแม่ คือ พระพุทธเจ้าเป็นคนที่รักแม่และซาบซึ้งถึงพระคุณแม่มากที่สุดในโลก เพราะพระมารดาสวรรคตตั้งแต่พระองค์มีพระชนมายุได้ 7 วัน ไม่เคยเห็นหน้าแม่ ได้ดื่มนมแม่เพียง 7 วัน ได้รับไออุ่นจากการกอดเพียง 7 วัน แต่เป็น 7 วันที่ยิ่งใหญ่ แม้พระองค์จะไม่เคยทรงเห็นหน้าพระมารดามาเลยทั้งชีวิต เพียงได้ทราบว่า มีแม่ ก็รักแม่ ซาบซึ้งในพระคุณของแม่ ปรารถนาที่จะพบแม่
เมื่อพระองค์บรรลุธรรมขั้นสูงเพียบพร้อมด้วยปาฏิหาริย์สามารถเปิดโลกได้ สิ่งที่จะต้องทำให้ยิ่งใหญ่ก็คือ ทำเพื่อตอบแทนพระคุณแม่
หากพูดกันเป็นภาษามนุษย์ว่า แม่จะอยู่แห่งใดลูกจะตามไปหา การที่แม่อยู่บนสวรรค์แล้วดั้นด้นไปหาจนพบเพื่อตอบแทนพระคุณนั้น แสดงถึงความพยายามที่จะต้องพบแม่ให้ได้เพราะสายใยรักที่ลูกมีต่อแม่เหนียวแน่นยิ่งนัก
แล้วทำไมบนโลกมนุษย์นี้วันที่มีแม่อยู่บ้านเดียวกันใกล้ๆพบง่ายโดยไม่ต้องใช้ปาฏิหาริย์ใดๆ จึงไม่รีบกอดแม่ กินข้าวกับแม่ เลี้ยงแม่ดูแลแม่ให้ดีที่สุดและทำดีทุกอย่างเพื่อแม่ให้แม่ชื่นใจที่สุด ก่อนแม่จะจากไปสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งเราจะไม่มีวันได้พบอีก จะโทรหาเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับ เพราะเราไม่มีปาฏิหาริย์และพระญาณอย่างพระพุทธเจ้า จงดูแม่ให้เต็มตา กอดแม่ให้แน่นๆ เคารพรักหนักแน่นไม่เสื่อมคลาย ทำพูดคิดให้ท่านสบายทั้งกายและใจ วันที่แม่จากไปจะไม่ต้องเสียดายว่า ยังมิได้ตอบแทนพระคุณ
พระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลต้นแบบของความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ ที่แสดงว่า ความรักที่ลูกมีต่อแม่แม้ฟ้าก็มิอาจกั้น แม้ความตายก็มิอาจกั้น แม้สวรรค์จะสูง จะไกล แค่ไหนพลังรักของแม่จะไปนำลูกไปจนถึง พลังรักของแม่จึงเป็นพลังรักที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ ขับเคลื่อนลูกรักของแม่ไปสู่ความฝัน ความหวัง ความสำเร็จได้ทุกอย่าง เพราะความรักแม่บริสุทธิ์แท้เหนือความบริสุทธิ์ใดๆ ดังคำประพันธ์ที่กล่าวว่า
ความรักแม่สะอาดแท้กว่าทุกสิ่ง
ความรักแม่สะอาดยิ่งกว่าสิ่งไหน
ความรักแม่สะอาดเกินกว่าสิ่งใด
ความรักแม่มีไว้เพื่อลูกเอย
ความรักของลูกกตัญญูที่มีต่อแม่ ไม่ว่า ภูเขาฟากฟ้า สวรรค์ อุปสรรคใดๆหรือแม้แต่ความตายก็ทำลายมิได้เป็นรักอมตะแท้
ขอจบบทความที่คนรักแม่เขียนถึงคนรักแม่ที่ยิ่งใหญ่คนนั้นไว้เพียงแค่นี้ แม้วันนี้มิใช่วันแม่ของชาติใดๆ แต่เมื่ออ่านบทความนี้แล้วขอให้คิดถึงแม่เพียงเสียววินาที ก็ช่วยให้ชีวิตชุ่มชื่นเหนือคำบรรยายแล้ว ขอพลังรักของแม่ที่แผ่มาเพื่อลูกจงเป็นพลังย้อนกลับนำความสุขสงบเย็น ไปสู่แม่ที่ให้กำเนิดลูกทุกๆคนในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อด้วยเถิด
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย
1 ตุลาคม 2560 เวลา 05.53 น.