ข่าวเด่นเมืองไทย
ข่าวเด่นเมืองไทย
เปิดคำตัดสินจำนำข้าว พิเคราะห์ละเอียดยิบ จำคุก5 ปี’อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์’ ไม่รอลงอาญา


เมื่อวันที่ 27กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุ 49 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังสรุปตัวเลขความเสียหายอันเกิดจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 และ ปี2556/57 เป็นเงิน 178,586,365,141.17 โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 และ 10 ในเฉพาะส่วนการกระทำของตนในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาองค์คณะนัดประชุมเวลา 07.00 น. เพื่อจัดทำคำวินิจฉัยกลาง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เดินทางมาศาล กระทั่งเวลา 11.15 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาจำนวนกว่า 90หน้า

ศาลได้วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าโครงการรับจำข้าวเปลือกเป็นนโยบายของรัฐบาล ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไต่สวนจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ศาลเห็นว่า รัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 3 บัญญัติให้องค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยแบ่งแยกออกเป็น 3 ฝ่าย คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้เป็นกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลกัน การใช้อำนาจอธิปไตยของแต่ละฝ่าย ต้องเป็นไปตามบทกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ และย่อมถูกตรวจสอบการใช้อำนาจได้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบทางการเมือง โดยองค์กรทางการเมือง หรือ การตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการหรือศาล 

อีกทั้ง ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 178 บัญญัติว่าในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ตามมาตรา 176 และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการกระทำของฝ่ายบริหารย่อมต้องถูกตรวจสอบการใช้อำนาจเช่นเดียวกันกับองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐโดยทั่วไป โดยรัฐธรรมนูญได้บัญญัติการตรวจสอบการกระทำในฐานะรัฐบาลหรือการกระทำทางรัฐบาลให้รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และวางบทบาทของรัฐสภาให้เป็นผู้ตรวจสอบการดำเนินการของรัฐมนตรีตามบทบัญญัติหมวด 6 รัฐสภา เช่น การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ไว้วางใจ อันเป็นผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งหรือความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 180 หรือ 182 แล้วแต่กรณี หรือในหมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 3 การถอดถอนจากตำแหน่ง มาตรา 270 -274 การตรวจสอบการกระทำทางรัฐบาลต้องกระทำโดยรัฐสภาเท่านั้น ศาลจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่า นโยบายของรัฐบาลชอบด้วยกฎหมายหรือมีความเหมาะสมหรือไม่

แต่ในส่วนการกระทำฐานะฝ่ายปกครองหรือการดำเนินการทางปกครองโดยเฉพาะจำเลยในฐานะนายกฯ หรือ หัวหน้าฝ่ายปกครองมีหน้าที่กำกับโดยทั่วไป การบริหารราชการแผ่นดินและบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11 (1) (3) ย่อมจะต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการหรือศาล ได้ตามบทบัญญัติหมวด 10 หากการดำเนินการทางปกครองก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย อาจมีความรับผิดทางปกครองหรือทางแพ่ง หรือทางอาญา แล้วต่อกรณี ก็ใช่ว่าคงมีเพียงความรับผิดชอบต่อสภาฯ หรือรัฐสภา เท่านั้น เป็นหลักการเดียวกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับปัจจุบัน ดังนั้น แม้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก จะเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา แต่หากปรากฏว่าในขั้นตอนปฏิบัติตามโครงการมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายก็ย่อมถูกตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรมได้

โดยเฉพาะคดีนี้เป็นการกล่าวหาจำเลยซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการไม่ใช่เป็นการตำหนิข้อบกพร่องหรือการดำเนินนโยบายผิดพลาด ที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาฯ หรือวุฒิสภา จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะไต่สวน ข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีอาญา กับจำเลยได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 250 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19 และอัยการสูงสุดโจทก์มีอำนาจฟ้อง

ส่วนที่จำเลยสู้ว่านายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ที่ฟ้องคดีนี้ดำรงตำแหน่งโดยมิชอบ จึงไม่มีอำนาจฟ้องศาลเห็นว่า แม้นายตระกูลจะพ้นจากตำแหน่งรองอัยการสูงสุด และได้ขึ้นเป็นอัยการสูงสุดตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 บัญญัติคำสั่ง คสช.ให้ชอบด้วยกฎหมาย และภายหลังนายตระกูลก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งจึงชอบด้วยกฎหมาย และอัยการสูงสุดโจทก์มีอำนาจฟ้อง

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่าโครงการจำนำข้าวพบการทุจริตในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติ การรับจำนำ การเก็บรักษาข้าวเปลือก การสวมสิทธิ์ การนำเข้าข้าวมาสวมสิทธิ์ ข้าวสูญหาย การออกใบประทวนเท็จ การทำเอกสารปลอม และใช้เอกสารปลอม แต่ความเสียหายดังกล่าว อันเกิดจากการทุจริต เป็นกรณีของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ ซึ่งจำเลยได้ออกมาตรการป้องกันความเสียหายอย่างสมเหตุสมผลแล้ว ดังเช่นการระบายข้าวถุง

ส่วนข้อกล่าวหากรณีการระบายข้าวโดยให้ อคส. ทำการบรรจุถุงขายให้กับประชาชนในราคาถูก จำหน่ายในโครงการธงฟ้า ร้านถูกใจ ร้านสวัสดิการ อคส. และเอกชนผู้แทนจำหน่ายอีก 3แห่ง แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่า ข้าวถุงที่นำออกมาจำหน่ายมีไม่เพียงพอ และเมื่อตรวจสอบกับบริษัทขนส่งข้าวก็พบว่า ปริมาณที่ขนส่งน้อยกว่าปริมาณที่มีการนำข้าวมาเพื่อจัดจำหน่าย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้แทนจำหน่ายดังกล่าวยังกล่าวอ้างว่ารู้จักกับร้านค้าที่จัดจำหน่ายได้อีกกว่า 20 แห่ง แต่เมื่อตรวจสอบกลุ่มร้านค้า กลับปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายข้าว และไม่มีข้าววางจำหน่ายต่อสาธารณะ มีการคบคิดกันเป็นขบวนการในการทุจริตระบายข้าวถุงด้วย

ผลการตรวจสอบจากอนุกรรมการระบายข้าว พบว่ามีการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตจึงรายงานให้จำเลยทราบ และมีมติว่าให้ยุติการระบายข้าวถุง พยานหลักฐานจึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องในส่วนนี้ 

เเต่ทั้งนี้จากการไต่สวนจากอนุกรรมการปิดบัญชี 3 รอบ คือรอบแรกวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 มีการขาดทุน 3.23 หมื่นล้านบาท เป็นการใช้เงินจำนำข้าวนาปี 54/55 จำนวน 114,000 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 113,000 ล้านบาท รอบที่ 2 วันที่ 31 มกราคม 2556 ขาดทุน 220,968 ล้านบาท ใช้เงินจำนำข้าวปี 54/55 และปี 55/56 จำนวน 593,000 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 447,103 ล้านบาท รอบที่ 3 วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ขาดทุน 332,372 ล้านบาท ใช้เงินจำนำข้าวปี 54/55 และปี 55/56 จำนวน 565,068 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 474,265 ล้านบาท รวม 5 ฤดูกาลผลิตตามอนุกรรมการปิดบัญชีวันที่ 30 กันยายน 2557 มียอดรับจำนำข้าวสาร 878,000 ล้านบาทเศษ เห็นได้ว่าเป็นเงินเกินกว่ากรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และเกินกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสม เมื่อพิจารณาการปิดบัญชีทั้ง 3 รอบมีการใช้เงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าแผนการบริหารในโครงการรับจำนำข้าวของจำเลยนั้น ขาดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการแปรรูป และจัดเก็บข้าวตามกรอบบริหารเกินวงเงิน 5 แสนล้านบาทที่กำหนดไว้ การดำเนินโครงการจึงเกิดปัญหาจากการขาดสภาพคล่อง แต่จำเลยกลับนำข้อท้วงติงของอนุกรรมการปิดบัญชีมาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเท่านั้น หากจำเลยให้ความสำคัญจากโครงการรับจำนำข้าวตามที่ประกาศไว้ก็จะเกิดประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่านี้ 

โดยองค์คณะเห็นว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิตแม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ เช่นการสวมสิทธิการรับจำนำ การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ ข้าวสูญหาย การออกใบประทวนให้ชาวนาอันเป็นเท็จ การใช้เอกสารปลอม การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา ข้าวสูญหายจากโกดัง ข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวเน่าและข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ มีรายงานจากการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศรวม 105 คดี แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติจำเลยในฐานะประธาน กขช.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ อีกทั้งเมื่อพบความเสียหายดังกล่าวในขณะดำเนินโครงการได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันความเสียหายแล้ว กรณีความเสียหายในส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ

แต่ข้อกล่าวหาเรื่องการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ในสัญญา4ฉบับพบว่ามีการแก้ไขสัญญาในยุคที่มีนายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าว และยังทำในรูปแบบซื้อขายหน้าคลังสินค้า ซึ่งไม่ใช่การซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ที่ปกติเป็นรูปแบบการค้าภายในประเทศ และยังใช้สกุลเงินบาทในการซื้อขาย ซึ่งเป็นพิรุธ ประกอบกับไม่พบว่ามีการส่งข้าวไปยังจีน แต่ในสัญญากลับระบุการซื้อขายข้าวนับล้านตัน ทั้งที่มีการนำข้าวออกไม่เท่ากับที่สัญญาระบุไว้ และเป็นการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ทำให้เอกชนได้รับประโยชน์จากส่วนต่างในราคา 3 พันบาทต่อตัน โดยยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทเอกชนในกลุ่มของ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ที่มีความสนิทกับนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของจำเลย ก็ได้รับประโยชน์จากพฤติการณ์ที่สมอ้างว่าสัญญาระบายข้าวเป็นแบบรัฐต่อรัฐ 

ขณะที่การตรวจสอบทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ กลับพบว่านายบุญทรงได้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดเดิมที่มีบุคคลภายนอกรวมอยู่ด้วย แล้วตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ที่มีแต่ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบังคับบัญชาของนายบุญทรง และทำการตรวจสอบไม่ตรงตามประเด็นที่อภิปราย แสดงให้เห็นว่าไม่ตั้งใจตรวจสอบอย่างจริงจัง ขณะที่การปรับนายบุญทรงออกจากตำแหน่งรมว.พาณิชย์ก็เพิ่งมีขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน 2556

นอกจากนี้ จำเลยได้รับทราบชัดเจนเรื่องการระบายข้าวที่มีการส่งไปขายในต่างประเทศกับจีน จากการสัมภาษณ์ของจำเลยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม2555 ที่ระบุรายละเอียดว่าตนได้เห็นสัญญาซื้อขายข้าว โดยขายไปแล้ว 8 ล้านตันและส่งออกจริงในหลายประเทศรวมทั้งกลุ่มอาเซียน แต่ยังไม่สามารถชี้แจงได้ต้องรอการปิดบัญขีโดยมีข้าวบางส่วนส่งอีก และบางช่วงของการสัมภาษณ์ยังระบุว่าสัญญาเป็นแบบMOU ขณะนั้นนายบุญทรง ที่ยืนอยู่ด้วยขณะให้สัมภาษณ์ กล่าวเสริมว่า การซื้อขายไม่ใช่ MOU แต่เป็นการทำสัญญาซื้อขาย 6 ฉบับแบบรัฐต่อรัฐ ประกอบก่อนการให้สัมภาษณ์ยังมีการตั้งกระทู้สดถามเรื่องการระบายข้าว ซึ่งจำเลยมอบให้นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ชี้แจงแทนว่าการระบายข้าวเป็นความลับยังไม่อาจเปิดเผยได้

เมื่อเทียบระยะเวลา ถือว่าจำเลยได้ทราบเรื่องขนาดให้สัมภาษณ์รายละเอียดได้ และยังแสดงให้เห็นว่ายังมีข้าวที่ยังไม่ได้นำส่ง ตามสัญญาระบายข้าว 4 ฉบับกำหนดส่งข้าวสุดท้ายปลายเดือน ก.พ. ดังนั้นหากนับเวลาตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจจำเลยยังมีเวลาตรวจสอบประเด็นที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.ปชป.ตั้งกระทู้ถาม หากจำเลยสั่งให้ตรวจสอบจริงจังเหมือนกรณีการตรวจสอบข้าวสารบรรจุถุงที่สั่งกระทรวงพาณิชย์ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ย่อมจะระงับความเสียหายได้ แต่จำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง และอำนาจที่มีในฐานะนายกฯ ซึ่งสามารถสั่งการได้ทุกกระทรวงทบวงกรม และประธาน กขช.ระงับยับยั้งแก้ไขปัญหาทุจริต แต่กลับละเว้นปล่อยให้ดำเนินการต่อไปกระทั่งเอื้อนายบุญทรง เตริยมภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กับพวกสมอ้างนำบริษัทกว่างตงฯ และไห่หนานฯ ให้มาซื้อข้าวในท้องตลาดอันเป็นต่อแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมายส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง ถือเป็นการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่

การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1


องค์คณะฯ จึงมีมติว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1 จำคุก 5 ปี  ไม่รอการลงโทษจำเลย โดยให้ออกหมายจับจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติที่องค์คณะฯ พิจารณาลงโทษจำเลยนั้นเป็นมติเสียงข้างมาก 8-1 




 




นำเสนอข่าวโดย : Kittisuda .,
แหล่งที่มาข่าวโดย : มติชน
21-02-2021 วงการบันเทิงสูญเสีย ไพโรจน์ ใจสิงห์ นักแสดงมากฝีมือ (0/13863) 
30-10-2019 แจงระงับสิทธิจีเอสพี กระทบแค่1,800ล้าน (25/5233) 
16-10-2019 ส่งออกข้าววืดเป้า9ล้านตัน ถูกเวียดนามตามบี้ทุกตลาด (0/2859) 
25-09-2019 รายงานหน้าหนึ่ง : ดอกเตอร์จากฟินแลนด์ ยัน รมช.ไทยลอกวิทยานิพนธ์ (2/3169) 
19-09-2019 รายงานหน้าหนึ่ง : ปลดล็อค”น้ำดอกไม้สีทอง”สู่อเมริกา (0/2039) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
597
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข