เพียงไม่กี่วันหลังจากที่สำนักงานสาธารณสุขของ ซานดิเอโก้ เคาน์ตี้ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่าด้วยการระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ (Hepatitis A) ซึ่งเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 คน ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2017 สำนักงานสาธารณสุขของลอส แอนเจลิส เคาน์ตี ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่ามีการระบาดของไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ ในเขตแอลเอ เคาน์ตี เช่นกัน
ดร.บาร์บาร่า เฟอร์เรอร์ ผู้อำนวยการหน่วยงานสาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี กล่าวว่าจนถึงปัจจุบัน พบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในเขตแอลเอ เคาน์ตี้ แล้ว 10 ราย ถือว่าไม่มากนักหากเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อในซานดิเอโก้ เคาน์ตี้ ที่มีเกือบ 450 ราย แต่หากไม่มีการรับมืออย่างเข้มแข็ง ตัวเลขผู้ติดเชื้อ หรือกระทั่งตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายชนิดนี้ ย่อมเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยการระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ในซานดิเอโก้ นั้น ขณะนี้ลุกลามมาถึงซานตาครูซแล้ว โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อในซานตาครูซ 69 ราย ซึ่งดร.บาร์บาร่า เฟอร์เรอร์ กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานของตนกำลังพยายามอย่างหนักในการป้องกันชาวเมืองแอลเอ ให้พ้นจากการการแพร่ระบาดของไวรัสตักอักเสบ เอ
ทั้งนี้ กลุ่มคนเร่ร่อน หรือโฮมเลส ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคไวรัสตับอักเสบ เอ มากที่สุด เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ระบบสุขาภิบาลไม่ดี สุขอนามัยส่วนตัวไม่ดี โดยไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นเชื้อโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย ทั้งทางอาหาร น้ำดื่ม การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ผู้อำนวยการหน่วยงานสาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี กล่าวด้วยว่า หนึ่งในวิธีที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบ เอ ในแอลเอ คือการปรับปรุงระบบสุขอนามัยของโฮมเลส ที่มีจำนวนมากมายในลอส แอนเจลิส โดยจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจบริเวณที่มีโฮมเลส อาศัยอยู่หนาแน่น เพื่อหาทางปรับปรุงระบบสุขอนามัย ความสะอาดส่วนตัว และเพื่อให้ข้อมูล สร้างความตื่นตัวต่อการแพร่ระบาดและอันตรายของโรคชนิดนี้ด้วย
ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี้ ออกให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ กับบรรดาโฮมเลส มาแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 เข็ม รวมถึงออกให้บริการฉีดวัคซีนกับผู้ต้องหาในคุก กลุ่มคนติดยา และเจ้าหน้าที่ตามศูนย์สุขภาพต่างๆ ด้วย
“การระบาดของไวรัสตับอักเสบ เพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น หากหากสามารถฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงได้มากเท่าไหร่ การระบาดของโรคร้ายในเขตแอลเอ ก็จะน้อยลงเท่านั้น” ดร.บาร์บาร่า เฟอร์เรอร์ กล่าว และว่าทางสำนักงานสาธารณสุขของ แอลเอ เคาน์ตี้ จะปฏิบัติการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายชนิดนี้ต่อเนื่องอีกหลายเดือน หรือจนกว่าจะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบเอ ได้สำเร็จ
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะมีการประกาศเตือนประชาชน ถึงการระบาดของโรคตับอักเสบ เอ ในเขตแอลเอ เคาน์ตี้นั้น ข่าวบอกว่ามีผู้ติดเชื้อในแอลเอ อยู่แปดแปดคน โดยห้าคนติดเชื้อหลังจากเดินทางไปซานดิเอโก้ หรือซานตาครูซ และอีกสามคนที่เหลือ ได้รับเชื้อระหว่างทำงานอยู่ในศูนย์สุขภาพ ที่ดูแลหนึ่งในผู้ป่วยโรคตับอักเสบ เอ อยู่
แต่ในวันอังคารที่ 19 กันยายน เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขของ แอลเอ เคาน์ตี้ พบว่ามีผู้ป่วยอย่างน้อยสองราย ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ โดยที่ไม่ได้เดินทางไปไหน ซึ่งนั้นทำให้สำนักงานสาธารณสุขตัดสินใจออกประกาศเตือนประชาชนถึงการระบาดของโรคร้ายชนิดนี้ในเขตแอลเอ ทันที
“การออกประกาศแบบนี้ไม่ได้ต้องการให้ประชาชนตื่นกลัว แต่เพื่อสร้างความตื่นตัวและเป็นการให้ข้อมูลเพื่อป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจากโรคร้ายชนิดนี้” ดร.บาร์บาร่า เฟอร์เรอร์ กล่าว
ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ เอ จะหายป่วยได้เอง แต่ขณะเดียวกัน โรคนี้ก็สามารถทำอันตรายกับตับของผู้ป่วย ซึ่งถือว่ามีอันตรายอย่างมาก โดย 4 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยในซานดิเอโก้ เคาน์ตี้ นั้น เสียชีวิตไปแล้ว
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ากลุ่มเสี่ยงของโรคไวรัสตับอักเสบ เอ คือกลุ่มโฮมเลส ก็ตาม แต่ข่าวบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับเชื้อร้ายชนิดนี้ได้เช่นกัน โดยแต่ละปี มีผู้ปวยในเขตแอลเอ เคาน์ตี้ ประมาณ 40-60 คน โดยเกือบทั้งหมดได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดเพียงพอ
ดังนั้น สำนักงานสาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี้ จึงแนะนำประชาชนว่า ไม่ควรที่จะแบ่งอาหาร น้ำดื่ม หรือบุหรี่กับผู้อื่น อีกทั้งให้ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำ หรือก่อนที่จะลงมือปรุงอาหาร หรือรับประทานอาหาร นอกจากนี้ หากทราบว่าตัวเองเคยใกล้ชิดกับผู้ป่วยด้วยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
“ถ้าคุณอายุ 18 ปีขึ้นไป และไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ เอ มาก่อน ช่วงเวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุด ในการรับการฉีดวัคซีนเสีย” ดร.บาร์บาร่า เฟอร์เรอร์ กล่าวในที่สุด.
ทั้งนี้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 15-50 วัน โดยอาการของโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ที่เห็นชัดคือมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แน่นชายโครงขวา ท้องร่วง ปัสสาวะสีเข้ม อุจาระซีด และมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง แบบที่เรียกว่าดีซ่าน ซึ่งโดยทั่วไป อาการจะหายไปในสองเดือน บางรายอาการอยู่ได้ 6 เดือน.