โยคะ (Yoga) คือ การรวมกาย จิต และวิญญาณ ให้เป็นหนึ่งเดียว การฝึกโยคะเป็นกระบวนการสำหรับฝึกกาย ฝึกการหายใจ และฝึกจิตให้มีความจดจ่อกับเรื่องลมหายใจเข้าออก อันจะนำไปสู่การมีสมาธิที่ดีขึ้น ในแง่ปฏิบัติต้องรวมสามอย่างเข้าด้วยกัน คือ การเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ การประสานลมหายใจเข้าออกกับการเคลื่อนไหว และมีจิตสงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว
...เพื่ออะไร
โดยโยคะดั้งเดิมมีสูตรของการฝึกโยคะ เพื่อให้เกิดประโยชน์ 8 ประการ นั่นก็คือ
1. ยามะ หรือเพื่อการรักษาศีล 5 คือเน้นความเป็นอยู่ร่วมกับธรรมชาติ หรือศีลปกติของมนุษย์ 5 ข้อ ที่เรารับจากพระสงฆ์ก่อนจะทำการถวายสังฆทานเป็นต้น
2. นิยามะ หรือเพื่อวินัย 5 คือ ความอดทน สันโดษ ชำระกายใจให้บริสุทธิ์ หมั่นศึกษาตนเอง และมีศรัทธา
3. อาสนะหรือ เพื่อการดูแลร่างกาย และปรับสมดุลให้ระบบต่าง ๆ
4. ปราณยามะ หรือเพื่อการฝึกลมหายใจ ด้วยการมีสติทำความเข้าใจระบบหายใจของตนเอง และควบคุมลมหายใจของตนเองตลอดเวลา ว่าหายใจช้าลง หรือสงบ
5. ปรัทยาหาระ หรือเพื่อสำรวมอินทรีย์ เป็นการควบคุมประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือในทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า การควบคุมอายตนะภายใน
6. ธารณะ หรือการเพ่งจ้อง เป็นการฝึกอบรมจิตให้นิ่ง จิตนิ่งเป็นจิตที่มีประสิทธิภาพ เป็นจิตที่สามารถทำงานได้สำเร็จลุล่วง
7. ฌาน หรือ การเพ่ง เป็นการฝึกอบรมจิตสม่ำเสมอเพื่อให้จิตมีคุณภาพสูงขึ้น คือสามารถจดจ่ออยู่กับเรื่องเดียว ในสิ่งทีก่ำลังทำ เป็นจิตที่รู้เห็นตามความเป็นจริง
8. และเพื่อให้ได้สมาธิอันเป็นผลสูงสุดที่ได้จากการฝึกโยคะ หรือเป็นจิตสมาธิในแง่โยคะคือ จิตที่มีความเป็นหนึ่งเดียวเพื่อการอธิษฐาน (ที่มา yesspathailand.com)
และโยคะกับการหายใจ
ครูปาล์มบอกว่า ส่ิงที่เราเป็นตั้งแต่เกิด ทำตลอดเวลา ตอนนอน ตอนอาบน้ำ ตอนออกเดท ตอนทำขนมไทย ฯลฯ จริงๆ นั่นคือการหายใจ ใครจะไปคิดว่าการหายใจจะมาเป็นเรื่องสำคัญ ก็แค่การหายใจ เข้า แล้ว หายใจออก ไม่เห็นมีอะไรยาก แต่รู้หรือเปล่าว่าโยคะ และการหายใจเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องไปด้วยกัน ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดสมาธิจดจ่ออยู่กับท่าเท่านั้น แต่การหายใจอย่างถูกต้องยังช่วยให้เข้าท่าต่างๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย และการหายใจแบบโยคะนั้นหลักๆ แบ่งได้เป็น 8 แบบ แต่ในที่นี้ ครูปาล์มจะหยิบยกมาเพียง การหายใจที่สามารถฝึกได้กันเองง่ายๆ มีแบบไหนบ้าง มาดูกันค่ะ
1. Long and Deep คือการหายใจแบบลึกและยาว โดยการหายใจเอาลมเข้าไปในท้องให้ลึกจนท้องป่อง และหายใจออกให้ยาวตอนหายใจออก พยายามให้ยาวกว่าตอนเข้า
2. Kapalabhati คือการหายใจออกเพียงอย่างเดียว อย่างแรง และเร็วเพื่อให้เกิดความรู้สึกโล่ง โปร่ง
3. Bhastika คือการหายใจที่วิธีไม่ต่างกับข้อที่ 2 มากนัก เพียงแต่จะง่ายขึ้น คือให้หายใจเข้า ออกแรงๆ แต่จะมีข้อควรระวังอย่างหนึ่งสำหรับการหายใจ ทั้ง 2 แบบนี้ สำหรับคนที่เป็นความดันไม่ควรทำ เพราะอาจส่งผลต่อระดับความดันได้
4. Ujjayi คือการหายใจให้เกิดเสียงลมผ่านรูจมูก ผ่านลำคอ หากหายใจแบบนี้ขณะนั่งสมาธิ ให้ลองจินตนาการว่าร่างกายเราเป็นเหมือนท่อตรงแล้ว ให้หายใจเอาลมเข้า ออกผ่านท่อนั้นให้เกิดเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องดัง หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการหายใจแบบนี้ต้องเสียงดังเข้าไว้ แต่ความจริงไม่จำเป็นเลย และการหายใจแบบนี้ เพื่อช่วยให้ร่างกายร้อนขึ้น เหมาะกับการใช้ในช่วง การเตรียมตัวก่อนจะออกกำลังกาย ต่างๆ
5. Bharmari คือการหายใจให้เกิดเสียงเหมือนเสียง ผึ่ง เป็นการหายใจโปรดของใครหลายๆ คน เพราะการหายใจแบบนี้ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย เหมาะกับการทำหลังฝึกโยคะก่อนเข้าท่าศพ หรือทำก่อนได้ยิ่งดี วิธีคือ เอาลิ้นแตะเพดานปาก ปิดปากไว้ หายใจเข้าทางจมูก อุดหู และหายใจออกให้เกิดเสียงเหมือน ผึ่ง ซึ่งก็คือการใช้เสียงให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปถึงกะโหลก เพื่อความผ่อนคลาย
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับคำตอบของประโยชน์จากการฝึกโยคะ ที่ครูปาล์มยังได้สอนวิธีการหายใจแบบโยคะอย่างง่าย เพียงแค่ 5 แบบ ที่ครูปาล์มบอกว่าสามารถฝึกกันเองได้ แต่คุณผู้อ่านคงคิดเหมือนกับเราใช่มั๊ยคะว่า ก็ยากไม่ใช่เล่นเลย ถ้าอย่างนั้นคุณผู้อ่านคงต้องโทรไปทำนัดเรียนโยคะ กับครูปาล์มกันแล้วนะคะ และบอกคูรปาล์มด้วยนะคะว่า โทรมาจากเราหนังสือพิมพ์ "สยามทาวน์ ยูเอส" แล้วพบกับเราที่นี่ กับเรื่องราวดีๆ ฉบับหน้ากันค่ะ