จากการศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรธรรม
ชาติ ที่ชื่อว่า “จิงจูฉ่าย” (White Mugwort) หรือที่คนไทยเรียกว่า “โกศจุฬาลัมพา” เป็นพืชล้มลุก ขนาดเล็กเป็นพุ่ม ต้นสูง 0.5-1 ฟุต คล้ายต้นขึ้นฉ่าย ใบรี หนา ขอบเป็นแฉกสีเขียว 5 แฉก เหง้ามีขนาดใหญ่กระจายไปทั่ว เมื่อโตแตกกิ่งก้านออกเป็นกอคล้
ายกับใบบัวบก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด หากปลูกในที่อากาศเย็นจะได้ผลมา
กกว่าปลูกในอากาศร้อน
และสามารถ นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้ โดยให้นำใบจิงจูฉ่าย 1 กำมือ มาปั่นหรือตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ดื่มเช้า-เย็น โดยดื่มก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง วันละ 1-2 ครั้ง ให้กินติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 เดือน และควรดื่มอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถต้านทานเซลล์มะเร็งได้ เพราะสารที่มีในต้นจิงจูฉ่ายจะช่วยให้ร่างกายรักษาโรคมะเร็งดีขึ้น ด้วยสรรพคุณที่ถูกค้นพบว่า ตัว จิงจูฉ่ายมีเกลือแร่และวิ
ตามินสูง เฉพาะวิตามินซีมีสูงมา
กกว่ามะนาวถึง 58 เท่า และประกอบด้วย
วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี 6 เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และใยอาหาร จึงจัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา
สูงมาก และ จิงจูฉ่ายยังเจัดเป็นสมุนไพ
รบำรุงเลือดลมได้ดี โดยเฉพาะบำรุ
งเลือดลมสตรี แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยประสะเลือดให้เลื
อดลมมาตามปกติทั้งน้ำมันหอมระเห
ยของจิงจูฉ่ายจะช่วยปรับสมดุลคว
ามดันโลหิต ที่เหมาะกับผู้มีปั
ญหาเรื่องความดัน และช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ดี และเพราะ จิงจูฉ่ายมีสรรพคุณเป็
นยาเย็น หากกินในหน้าหนาวจะช่
วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก ปรับสมดุลร่างกาย และยังพบว่า จิงจูฉ่าย มีประโยชน์ช่วยดับพิษ แก้อักเสบ แก้ผิวหนังเป็นฝี ตุ่ม แก้ผดผื่นคันได้ดี อีกทั้งยังสามารถ ใช้ในการรักษา โรคมาลาเรียได้ ซึ่งเชื้อโรคมาลาเรียนี้คล้ายๆ กับเซลล์โรคมะเร็ง แต่ยังมีข้อควรระวัง คือ ห้ามผู้หญิงที่กำลังมีครรภ์ กินผักจิงจูฉ่ายอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้แท้งได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเมื่อ
มีผลดี ย่อมมีผลเสีย แต่เมื่อเราเรียนรู้แล้ว เราพึงควรใช้เพื่อให้ได้รับแต่ผ
ลดีนะคะ
นอกจากนี้ อ๊อกซิเจน ที่มีปริมาณไหลเวียนในร่างกาย ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโต เพราะผู้ป่วยโรคมะเร็ง จะมีสภาวะของร่างกายที่มีเลือดเป็น " กรด " จึงต้องเพิ่มโปแตสเซียมเข้าไปในร่างกาย จึงเป็นที่มาของการกินผัก น้ำผัก หรือน้ำต้มผัก ที่ นายแพทย์ อารีย์ วชิรมโน ผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ได้ให้ผลของทางเลือกในการรักษาตัวเอง เพื่อ การแก้เลือดเป็นกรด ซึ่งทำได้สองวิธีคือ กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำ ให้เลือดเราเป็นด่าง ประกอบกับการดูแลรักษาตัวเองโดยวิถีธรรมชาติ โดยคุณหมอไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัด ไม่ฉายรังสี และไม่่ยอมให้คีโม แต่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ขีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติมากที่สุด การพักผ่อน ทำตัวให้อารมณ์ดี ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป กำลังใจจากครอบครัว การนั่งสมาธิเพื่อทำจิตใจให้เป็นบวก โดยเมื่อคุณหมออารีย์ได้หายป่ายแล้ว ยังได้ใช้เวลาไปกับการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง และผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้เดินทางมาจากทั่วประเทศที่เข้ามาเพื่อเข้ารับการรักษาจากคุณหมอ อีกด้วยค่ะ (อ่านต่อประสบการณ์การรักษาโรคมะเร็งด้วยตัวเอง ได้ที่ medinfo.psu.ac.th ) ซึ่งทั้งนี้ ผู้ป่วยก็สามารถจะนำทั้งวิธีการดื่มจิงจูฉ่ายเป็นประจำมาประยุกต์กับการดำเนินชีวิตให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างเรียบง่ายอย่างคุณหมอก็คงจะช่วยฟื้นฟู ปรับสภาพให้ร่างกายแข็งแรง และหายจากโรคมะเร็งเร็วขึ้นก็ได้นะคะ
คุณผู้อ่านคะ โรคร้ายต่างๆ เมื่อเกิดได้ ก็ย่อมมีวิธีรักษาให้หายได้ แต่การรักษานั้น ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเองเป็นสำคัญนะคะว่าเลือกที่จะรักษาตัวเองอย่างไร แต่วิธีที่ดีที่สุด คือการไม่ต้องรักษา หรือก็คือการป้องกันไว้ก่อน ซึ่งก็อาจกล่าวได้อีกอย่างก็คือ การทำความพอดีให้กับร่างกายและการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์ทั้งการกิน และการประกอบธุรกิจการงานต่างๆ ให้สมดุล เพราะสิ่งแวดล้อมทางสถานภาพที่กดดันให้ร่างกายต้องเผชิญกับภาระหนักที่เกินกว่าอวัยวะจะรับได้นั้น ย่อมส่งผลให้เกิดภาวะผิดปกติในร่างกายที่แสดงผลแตกต่างกันออกไปตามแต่ละภูมิคุ้มกันของแต่ละคน จนเป็นโรคร้ายต่างๆ และเกิดความสูญเสีย แล้วถ้าอย่างนั้น สมควรหรือที่เราจะกดดันร่างกายตัวเองที่ลงท้ายด้วยความว่างเปล่ากันคะ นี่ก็เป็นอีกเรื่องราวดีๆ สำหรับคอลัมน์ของเราฉบับนี้ที่นำมาฝากคุณผู้อ่านกันนะคะ แล้วพบกับเราที่นี่ กับเรื่องราวดีๆ ฉบับหน้าค่ะ