นายโคมีย์ ระบุว่า เขาและเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ ในเอฟบีไอ ต่างรู้สึกช็อกและสับสน จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ “ร้องขอ” ให้เขายกเลิกการสอบสวนนายฟลินน์ ซึ่งเขาเข้าใจว่า “คำร้องขอ” ดังกล่าวถือเป็นคำสั่ง และเขารู้สึกกังวลในการสนทนากับประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ไม่มีหน้าที่ในการตัดสินว่า ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
นอกจากนี้ นายโคมีย์ ยังบอกว่าไม่ทราบว่าเหตุใดประธานาธิบดีทรัมป์ จึงปลดเขาออกจากตำแหน่ง แต่จากคำพูดกับสื่อมวลชนของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้เขาเข้าใจว่า เป็นเพราะการสอบสวนของเขาในประเด็นที่ว่ารัสเซีย เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่แล้วหรือไม่ และการสอบสวนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างนายฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กับรัฐบาลรัสเซีย
นายโคมีย์ กล่าวว่าความสัมพันธ์ของเขาและประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ค่อยราบรื่น หลังจากที่ทั้งสองได้มีการสนทนากันในวันที่ 6 มกราคม จากก่อนหน้านี้ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวกับเขาหลายครั้งว่า เขาทำงานได้ดี และควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป
ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ซึ่งเป็นบุตรชายของประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตข้อความตอบโต้นายโคมีย์ ที่เข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐโดยระบุว่า “ผมรู้จักพ่อของผมเป็นเวลา 39 ปี ซึ่งเมื่อท่าน ”สั่งหรือบอก“ ให้คุณทำอะไร คำพูดของท่านจะไม่มีความกำกวม คุณจะรู้อย่างชัดเจนว่า ท่านหมายความว่าอย่างไร”
โดยก่อนหน้านี้หนึ่งวัน เจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ออกมายืนยันว่า เคยถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ร้องขอให้หยุดตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับ ไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเท่ากับว่าผู้นำสหรัฐฯ อาจกำลังใช้อิทธิพลขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายบางคนมองว่า การให้ปากคำของโคมีย์อาจถูกใช้เป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยื่นฟ้องถอดถอนทรัมป์ ฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ดูจะไม่ตื่นตระหนกต่อเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากคำแถลงของ โคมีย์ ก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรใหม่ๆ
ในการดำเนินคดีฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรมนั้น กฎหมายสหรัฐฯ กำหนดให้อัยการต้องแสดงหลักฐานยืนยันให้ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหา “มีเจตนาทุจริต” ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะดำเนินการสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
แม้ประธานาธิบดีในตำแหน่งจะมีโอกาสถูกฟ้องคดีอาญาน้อยมาก แต่ความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรมถือเป็นข้อหาร้ายแรงที่อาจใช้เป็นเหตุในการยื่นถอดถอนได้
โคมีย์ ระบุว่า ทรัมป์ เคยหยิบยกเรื่องการตรวจสอบกรณีรัสเซียแทรกแซงเลือกตั้งมาพูดคุยกับตนในหลายโอกาส ซึ่งทำให้ตนรู้สึกอึดอัด และอดคิดไม่ได้ว่าประธานาธิบดีกำลังพยายามขัดขวางการทำงานของเอฟบีไอ
อดีต ผอ.เอฟบีไอได้อ้างสิ่งที่ ทรัมป์ พูดกับเขาขณะอยู่กันตามลำพังในห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ โดย ทรัมป์ พูดว่า “ผมหวังว่าคุณจะมองหาวิธีปล่อยผ่านเรื่องนี้ ปล่อย ฟลินน์ ไปเสีย เขาเป็นคนดี”
“ตอนนั้นผมเข้าใจว่าประธานาธิบดีกำลังร้องขอให้เรายุติการสืบสวน ฟลินน์ เรื่องที่เขาแจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการสนทนากับทูตรัสเซียเมื่อเดือน ธ.ค.” โคมีย์ ระบุ
โคมีย์ ยังอ้างถึงการพบปะเมื่อวันที่ 27 มกราคม หรือเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ ทรัมป์ สาบานตนเป็นประธานาธิบดี โดยทรัมป์ได้ขอให้โคมีย์รับปากว่าจะ “ซื่อสัตย์ภักดี” ต่อเขา
“ประธานาธิบดีพูดกับผมว่า ผมต้องการความซื่อสัตย์ภักดี และคาดหวังความซื่อสัตย์ภักดี ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบหรือแสดงสีหน้าท่าทางอะไรเลย มันเป็นความเงียบที่น่าอึดอัด”
โคมีย์ระบุด้วยว่า ตนเคยยืนยันกับประธานาธิบดีถึง 3 ครั้งว่าเขาไม่ได้กำลังถูกเอฟบีไอตรวจสอบ ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ ทรัมป์ ออกมาเปิดเผย
แดน โคตส์ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และ ไมค์ โรเจอร์ส ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการวุฒิสภาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน โดยเลี่ยงที่จะตอบคำถามตรงๆ ว่า ทรัมป์ เคยขอให้พวกเขาแทรกแซงการตรวจสอบ ฟลินน์ ตามที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานหรือไม่
โดยทั้ง โคตส์ และ โรเจอร์ส ไม่ปฏิเสธรายงานของโพสต์ แต่ยืนยันว่าไม่เคยรู้สึกว่าถูก “กดดัน” ให้ต้องทำ.