เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ประเทศฟิลิปปินส์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประเทศไทย และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการว่า มีการหารือประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาทะเลจีนใต้ ซึ่งมีแนวโน้มพัฒนาไปในแนวทางที่ดี จากการหารือร่วมกันระหว่างอาเซียน และอาเซียนกับจีน มีแนวโน้มดีขึ้น
ขณะนี้กำลังเดินหน้าไปสู่การทำแนวทางการจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (coc) ซึ่งจะต้องแล้วเสร็จภายในกลางปี ระหว่างนี้ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีไปก่อน เพราะต้องการทำให้เป็นทะเลแห่งความปลอดภัย เป็นทะเลแห่งเสรีในเรื่องการค้าขาย การเดินเรือ และหากิจกรรมทำร่วมกัน เช่นการรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล ซึ่งอาเซียนสนับสนุนแนวทางการแก้ไขด้วยสันติวิธี
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมยังหารือปัญหาเกาหลีเหนือ มติของอาเซียนมีความเห็นร่วมกันว่า ทุกอย่างต้องมีความยับยั้งชั่งใจไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ในอาเซียนมีความเห็นพ้องต้องกันว่าเราคงต้องมีบทบาทในเรื่องทำให้การแก้ปัญหานี้เป็นไปด้วยสันติวิธี ไม่ให้เกิดความสูญเสีย ได้มีข้อเสนอส่งให้ประเทศมหาอำนาจมาพูดคุยกันเพื่อมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดต่างแยกกันทำจะไม่ประสบผลสำเร็จ โดยอาเซียนต่างคาดหวังให้เรื่องดังกล่าวประสบความสำเร็จ ซึ่งเกาหลีเหนือคงต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีกับสหประชาชาติ
ส่วนประเด็นการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และไทย (IMT-GT) เพื่อหนุนการสร้างความเชื่อมโยงสาธารณูปโภคพื้นฐาน, การสร้างถนน, ท่าเรือ, รถไฟ เน้นระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก ที่สอดคล้องกับ “อีอีซี” นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีการหารือเรื่องของความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และจะยึดโยงไปยังประชาคมโลกอื่นๆ ทั้งเรื่องกายภาพ สาธารณูปโภคพื้นฐาน และการเดินทางไปมาหาสู่กันทางกายภาพ
เช่นรถไฟ, รถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูง ถนน, ทางเรือ, ท่าเรือ และท่าเรือเฟอร์รี่ ซึ่งไทยโดยกระทรวงคมนาคมได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาตลอด และครั้งนี้ได้ทำแผนงานมานำเสนอ โดยจะเน้นในเรื่องระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก ที่สอดประสานกับอีอีซี และระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ เพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องเหล่านี้ต้องวางแผนไว้ เพราะจำเป็นต้องใช้เวลาและงบประมาณในการดำเนินการ แต่จะทำได้สำเร็จก็ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย
ผู้นำไทยกล่าวว่า “ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาด้านความเชื่อมโยงโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาด้านการอำนวยความสะดวก การพัฒนาด้านนวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ในการพัฒนาด้านความเชื่อมโยงโครงข่าย โครงสร้างพื้นฐานนั้น ควรเร่งหารือทางเทคนิคเพื่อก่อสร้างการข้ามสะพานแม่น้ำโก-ลกแห่งใหม่ที่ตากใบ-เปิงกาลันกุโบร์ และสะพานแห่งที่ 2 ที่รันเตาปันยัง-สุไหงโก-ลก เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซียด้านตะวันออก”
“โดยมีพื้นที่การพัฒนาตามกรอบแนวคิดเมืองต้นแบบ 3 เหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเชื่อมโยงพื้นที่พัฒนาฝั่งทะเลตะวันออกของมาเลเซีย”
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวอีกว่า ทุกฝ่ายต้องเร่งรัดการอำนวยความสะดวกให้ก้าวหน้าทุกด้าน ทั้งด่านศุลกากรและตรวจคนเข้าเมือง การพัฒนาด้านนวัตกรรม การใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะต้องสนับสนุนการพัฒนาด้านนี้ เพื่อเป็นปัจจัยปรับเปลี่ยนในทุกมิติ และควรต่อยอดศักยภาพด้านการค้า อิเล็กทรอนิกส์ใน 3 ประเทศนี้
โดยเชื่อมโยงโครงข่าย เช่นการค้าเสรีดิจิทัลข้ามแดน สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 3 ประเทศ ได้ร่วมมือที่จะพัฒนาเมืองสีเขียว ซึ่งภาครัฐ, ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นกลไก 3 ประสานที่จะทำเรื่องเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จ