ข่าวการเมืองไทย
เปิดความเห็นแย้ง ตุลาการเสียงข้างน้อย คดี”ยิ่งลักษณ์”ขอทุเลาบังคับ คำสั่งชดใช้3.5หมื่นล.


เมื่อวันที่ 10 เมษายน จากกรณี ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ นายวชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองและเจ้าของสำนวน และองค์คณะตุลาการเสียงข้างมาก มีคำสั่งให้ยกคำขอ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและจำเลยคดีโครงการจำนำข้าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ฟ้องคดีปกครอง ที่ขอให้ศาลปกครองสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 59 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ( กขช.) ปล่อยให้เกิดความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวโดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหาย มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ไว้ก่อนที่จะมีคำพิพากษา ซึ่งคดีดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี , รมว.คลัง , รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4

โดยเหตุผล ที่ตุลาการเสียงข้างมาก ยกคำขอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากภายหลังจากผู้ถูกฟ้อง ออกคำสั่งเรียกให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้ถูกฟ้องได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ซึ่ง นอกจากหนังสือแจ้งเตือนดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องยังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด ในเมื่อผู้ถูกฟ้องยังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ในชั้นนี้จึงรับฟังไม่ได้ว่า หากศาลไม่มีคำสั่งทุเลาการบังคับ ตามคำสั่งพิพาท จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไข

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอย่างไร แม้องค์คณะตุลาการเสียงข้างมากมีคำสั่งให้ยกคำขอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ฟ้อง แต่ในการพิจารณาคำขอดังกล่าว นาย ภานุพันธ์ ชัยรัต รองอธิบดีศาลปกครองกลาง หนึ่งในองค์คณะก็ได้มีความเห็นแย้งเห็นสมควรที่ศาลปกครองกลางจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลังที่เป็นเหตุในการฟ้องคดีนี้

โดยสรุปเหตุผลว่า ผู้ฟ้องได้อ้างถึงคำสั่งกระทรวงการคลังให้ชดใช้ค่าเสียหาย 35,717,273,028.23 บาท ภายใน30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวกระทรวงการคลังจะดำเนินมาตรการบังคับทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน ซึ่งนายภานุพันธ์ เห็นว่า การใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นมีขั้นตอนตามปรกติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองหรือ กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่ตราโดยรัฐสภา แต่กรณีโครงการรับจำนำข้าว นายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องที่ 1 เลือกใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44 กำหนดความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับมอบหมายตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ให้ดำเนินการต่อผู้กระทำผิด และกำหนดให้กรมบังคับคดีเป็นเจ้าหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง แสดงให้เห็นว่า นายกฯผู้ถูกฟ้องที่ 1 กับพวกประสงค์จะดำเนินการและพร้อมจะดำเนินการกรณีโครงการรับจำนำข้าวเป็นกรณีพิเศษ แตกต่างไปจากกรณีปรกติ

โดยเมื่อผู้ฟ้องไม่ชำระเงินตามเวลาที่กำหนดในคำสั่งทางปกครอง กระทรวงการคลังได้มีหนังสือลับ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 4 มกราคม 60 แจ้งเตือนให้ชดใช้ค่าสินไหม โดยระบุในหนังสือว่า เมื่อไม่ชำระเงิน เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน ขณะที่ข้อเท็จจริงที่รับฟังตามคำสั่งกระทรวงการคลัง นายกฯผู้ถูกฟ้องที่ 1 กับพวกกล่าวอ้างในคำสั่งว่า จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ถือได้ว่าผู้ฟ้องจงใจกระทำละเมิดเป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหายเป็นเงิน 178,586,365,141.17 บาทจึงให้ผู้ฟ้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนการกระทำของตน ในอัตรารอยละ 20 ของความเสียหายซึ่งคิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 และ 10 ทั้งนี้หากทางราชการมีการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555 /26 และปีการผลิต 2556/57 ได้ในราคาที่สูงกว่า ราคาที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่ผ่านมาของรัฐบาล ก็ให้นำมาคำนวณเป็นมูลค่าสินค้าคงเหลือ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 57 และนำมาหักคืนแก่ผู้ฟ้อง ตามสัดส่วนที่ได้ชำระไว้ต่อไป จึงเห็นว่าจำนวนเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ที่ผู้ฟ้องกับพวกกล่าวอ้างในคำสั่งกระทรวงการคลังที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี เป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่ยุติเป็นที่สุด

เพราะอาจมีเงินจำนวนหนึ่งที่ต้องนำคืนแก่ผู้ฟ้องในภายหลังตามที่ระบุไว้ในคำสั่งทางปกครองนั้น ขณะที่ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ยุติเป็นที่สุด รวมทั้งหากนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวไม่ชอบและทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ยังมีประเด็นการเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้รับไปจากนโยบายของรัฐบาลในฐานะลาภที่ไม่ควรได้ด้วย

ดังนั้นเมื่อยังมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยการกำหนดค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่แน่นอนซึ่งผลการวินิจฉัยอาจส่งผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของค่าเสียหายที่จะสั่งให้รับผิดชดใช้ เมื่อสาระสำคัญของคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดียังไม่ยุติเป็นที่สุดจึงน่าจะมีปัญหาเรื่องความไม่ชอบของคำสั่ง เละเมื่อคำสั่งนั้นแจ้งให้ต้องรับผิดชดใช้เป็นจำนวนเงินที่สูงมาก หากมีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดให้ครบตามจำนวนทั้งที่ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติเป็นที่สุด ก็ย่อมเกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้ฟ้อง รวมทั้งบริวารที่มีธุรกรรมเกี่ยวข้องกับผู้ฟ้อง ในความเสียหายต่อสิทธิทรัพย์สินของบุคคล

จึงเห็นว่าหากให้คำสั่งกระทรวงการคลังนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ฟ้องและ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขภายหลัง ซึ่งถ้าแม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังนี้ นายกฯผู้ถูกฟ้องที่1 ในฐานะหัวหน้า คสช.ยังมีอำนาจพิเศษที่จะสั่งการระงับยับยั้งคำสั่งของศาลปกครองได้ตาม รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) มาตรา 44 จึงเห็นว่าการทุเลาบังคับคำสั่งกระทรวงการคลัง ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ

เมื่อการออกคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุการณ์ฟ้องคดีดำเนินการภายใต้สถานการณ์การใช้กำลังยึดอำนาจการปกครองและมีการใช้อำนาจรัฐ ศาลปกครองในฐานะองค์กรตุลาการของรัฐซึ่งมีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมทางปกครองต้องตะหนักและให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐแทนรัฐให้เป็นไปในฐานะรัฐที่ดีตามรัฐนิติธรรมเพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจ โดยดำเนินกระบวนพิจารณาคดีปกครองให้ครบตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองจนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นที่สุดเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ของประเทศได้ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุในการฟ้องคดีก่อนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินผู้ฟ้องเพื่อเป็นหลักประกันในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองแก่ประชาชนและสังคมไทยและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามคำสั่งทางปกครอง ที่ไม่ใช่การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลซึ่งเป็นที่สุดแล้ว

เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าคำสั่งกระทรวงการคลังเหตุของการฟ้องคดีมีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้คำสั่งนั้นมีผลบังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ขณะที่หากทุเลาการบังคับคำสั่งนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ ศาลปกครองจึงมีอำนาจที่จะสั่งทุเลาได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อ 72 วรรค 3 ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 จึงเห็นสมควรที่ศาลปกครองจะสั่งทุเลาคำสั่งกระทรวงการคลังไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ขณะเดียวกันก็ยังมีความเห็นแย้งของ นาย วชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนคดีนี้ ก็ยังมีความเห็นแย้งเช่นกัน แต่ในทางที่ว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องได้โต้แย้งถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการออกคำสั่งทั้งในเรื่องการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 ,ขั้นตอนและวิธีการ ที่เป็นสาระสำคัญและดุลพินิจที่ใช้ในการออกคำสั่งในหลายกรณี กรณีจึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายซึ่งหากมีผลบังคับใช้ต่อไประหว่างการพิจารณาคดีของศาลจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ฟ้องที่ยากเกินเยียวยาในภายหลัง ซึ่งการที่ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 มีหนังสือแจ้งเตือนในวันเดียวกันกับที่ออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ขณะเดียวกันได้มีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.มอบให้กรมบังคับคดีที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาเป็นผู้ใช้อำนาจในมาตรการบังคับทางปกครองโดยให้มีการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว จึงเป็นที่แน่ชัดว่าหากให้คำสั่งชดใช้ค่าสินไหมใช้บังคับต่อไปผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีจะต้องดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องแล้วนำมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าสินไหมอย่างแน่นอนซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐาน ที่ผู้ฟ้องแสดงต่อศาลว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าจะใช้มาตรการบังคับทางปกครองหากศาลมีคำสั่งไม่ทุเลา

กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกกฟ้องได้เริ่มกระบวนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว ขณะที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนและหนังสือชี้แจงของผู้ฟ้องเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 60 พบว่าเมื่อสถานภาพของผู้ฟ้องเปลี่ยนแปลงไปยังมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นซึ่งหากนำค่าใช้จ่ายที่ผู้ฟ้องอ้าง กับทรัพย์สินตามที่แจ้งต่อศาลและ ป.ป.ช.มาเปรียบเทียบกับจำนวนเงินที่ผู้ฟ้องจะต้องชดใช้ตามคำสั่งแล้ว เห็นได้ว่าหากมีการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์ของผู้ฟ้องโดยสิ้นเชิง ย่อมทำให้ไม่มีทรัพย์ใดๆเหลืออยู่เลยในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลและย่อมได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยทันที

ซึ่งหากรอให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์ไปก่อนแล้ว ผู้ฟ้องมีคำขอให้ทุเลาแม้ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟ้องได้รับทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดไปแล้วกลับคืนมา เพียงแต่ทำให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีไม่อาจมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของผู้ฟ้องต่อไปได้เท่านั้น หรือหากผู้ฟ้องจะแก้ไขความเดือดร้อนด้วยการฟ้องเป็นคดีใหม่ขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดและอายัดก็จะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขการฟ้องคดีที่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร

อีกทั้งถ้าแม้ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองกับทรัพย์สินของผู้ฟ้อง เพราะผู้ถูกฟ้องและกรมบังคับคดียังมีอำนาจหน้าที่ในส่วนของการเตรียมสืบหาทรัพย์สินต่างๆของผู้ฟ้องเพื่อนำไปสู่การยึดและอายัดต่อไป ดังนั้นถ้าจะสั่งทุเลาจึงไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ แต่แม้คดีนี้ศาลจะมีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองได้ก็ตาม

แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่มุ่งคุ้มครองคู่กรณีระหว่างการพิจารณาคดีแล้ว การที่ศาลมีคำสั่งให้ทุเลาคำสั่งทั้งหมดซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีไม่สามารถยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินใดๆของผู้ฟ้องได้เลยในระหว่างการพิจารณาของศาลก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐตามมาได้และทำให้ผู้ฟ้องมีสิทธิใช้บรรดาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ได้ตามปรกติเสมือนไม่มีคำสั่งที่ใช้บังคับเลยทั้งๆที่ผู้ฟ้องยังคงมีหน้าที่ชดใช้เงินตามคำสั่ง ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นกับการบริหารงานของรัฐตามมากับการพิจารณาถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้ฟ้องจากรายได้ ค่าใช้จ่ายที่สมควรลดลงตามแก่กรณี ความจำเป็นในการใช้ที่อยู่อาศัยและการครอบครองเคหะสถานโดยปรกติสุข เกียรติยศชื่อเสียง และ

พฤติการณ์แห่งคดีของผู้ฟ้องที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว จึงเห็นสมควรที่จะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังเพียงบางส่วนเท่านั้นด้วยการห้ามไม่ให้คำสั่งกระทรวงการคลังมีผลในบ้านและที่ดินเลขที่ 38/9 ซอย นวมินทร์ 111 แขวง นวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กทม.ที่เป็นบ้านพักอาศัยของผู้ฟ้องและครอบครัว และที่ดินซึ่งเป็นบ้านพักคนงานรวมถึงซึ่งของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านทั้ง2หลัง รวมทั้งบัญชีเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยในธนาคารกรุงเทพฯสาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารเอ รวม 9 บัญชีไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับคดีนี้ได้มีการตั้งองค์คณะพิเศษเพื่อพิจารณาคำขอและคำฟ้องโดยมีองค์คณะรวม 7 คนประกอบด้วย นาย วชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน , นายวุฒิ มีช่วย อธิบดีศาลปกครองกลาง , นาย ภานุพันธ์ ชัยรัต รองอธิบดีศาลปกครองกลาง , นายชวลิต ลาภผล ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครอง , นายธวัชไชย สนธิวนิช ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง , น.ส.ผึ้งรวง ประเสริฐพานิชการ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง และนาย หัสฎี ศรีวิเชียร ตุลาการศาลปกครองกลาง

ทั้งนี้ด้านนายประวิตร บุญเทียม ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะรองโฆษกศาลปกครอง กล่าวอธิบายถึงความเห็นแย้งของตุลาการในองค์คณะว่า เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในระบบคดีของศาลปกครอง ซึ่งถือเป็นความเห็นทางวิชาการที่จะเห็นต่างกันได้ในข้อกฎหมาย ซึ่งการจะมีคำสั่งทุเลาบังคับคำสั่งทางปกครองได้นั้นต้องเข้าหลักเกณฑ์ 3 ข้อ คือ 1.คำสั่งนั้นน่าจะมีปัญหาด้วยเรื่องความไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2.จะเกิดความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาผู้ที่ถูกออกคำสั่งในภายหลัง 3.เมื่อจะทุเลาคำสั่งนั้นแล้ว จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ

รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดีความเห็นแย้งนี้ ไม่ได้เป็นสิทธิให้ผู้ฟ้องนำไปใช้อุทธรณ์คำสั่งได้เพราะการยื่นคำขอทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองนั้นตามกฎหมายถือว่าผลเป็นที่สุดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว หากจะดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการทุเลาคำสั่งทางปกครองนั้นอีก ก็ต้องให้มีพฤติการณ์เหตุใหม่ที่แสดงให้เห็นว่ามีการดำเนินขั้นตอนยึดและอายัดทรัพย์แล้วยื่นเป็นคำขอทุเลาใหม่ ซึ่งสิทธิและการดำเนินตามขั้นตอนดังกล่าวก็เป็นในทุกคดีรวมทั้งคดีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับข้าราชการที่ถูกออกคำสั่งเช่นกันที่ศาลปกครองก็มีคำสั่งยกคำขอทุเลาเช่นกัน ทั้งนี้ที่เป็นคดีหลักในการยื่นฟ้องผู้ที่ออกคำสั่งนั้น ศาลปกครองกลางก็ยังจะดำเนินขั้นตอนแสวงการข้อเท็จจริงเพื่อมีคำวินิจฉัยออกเป็นคำพิพากษาต่อไปว่าคำสั่งการให้ชดใช้เงินค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าวและระบายข้าวนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่




 




นำเสนอข่าวโดย : Kittisuda .,
แหล่งที่มาข่าวโดย : มติชน
23-10-2019 ‘เผดิมชัย’ดีใจน้ำตาคลอ ชนะเลือกตั้งซ่อมนครปฐม (26/15772) 
06-06-2019 ‘ประยุทธ์’นำม้วนเดียวจบ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย (5/3394) 
27-03-2019 พปชร.เดินหน้าจัดรัฐบาล หนุน’ประยุทธ์’เป็นนายกฯ (37/3604) 
13-03-2019 รายงานหน้าหนึ่ง : ทำไม “มาร์ค” ไม่หนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ (38/3764) 
13-03-2019 กกต.แจงดูเลือกตั้งนอกราชฯ พบปัญหาบ้างแต่แก้ไขทันเวลา (1/2159) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข