หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.2560 แน่นอนว่าย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายแง่มุม เป็นผลจากเนื้อหากฎหมายที่แตกต่างจากเดิม
ในทางการเมืองมีการออกแบบโครงสร้างทางการเมืองใหม่ จนจะส่งผลต่อโฉมหน้าการเมืองไทยในอนาคต
ล่าสุดที่สมาคมแห่งสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง (สพต.) จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง “การบังคับใช้กฎหมายกับการสร้างความปรองดองในสังคมไทย” ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี ฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงโรดแมปการเลือกตั้งว่าเมื่อคำนวณตามกรอบเวลาเต็มเพดาน การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2561 แต่หากกฎหมายลูกบางฉบับไม่ผ่านสนช.อาจทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป
”
จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ประมาณเดือนมกราคม 2562 และหากคสช.ต้องการมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ก็จะต้องโหวตนายกรัฐมนตรีคนนอกต่อ ด้วยเสียง 2 ใน 3 ของจำนวนส.ส.และส.ว.ทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้คสช.มีเสียงในมือแล้ว 250 เสียงจากส.ว. จึงขอเรียกการเมืองหลังจากนี้ว่า ระบอบไฮบริด คือ มีส่วนที่เป็นประชาธิปไตย คือ เลือกตั้ง ส.ส. และ ส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คือ การได้มาซึ่งส.ว. และส.ว.สามารถร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย”
โดย ผศ.ดร.ปริญญา มองว่ารัฐบาลใหม่สามารถมีได้ 4 รูปแบบ
1.พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคเพื่อไทย หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีพรรคการเมืองใดตั้งรัฐบาลเองได้ เพราะไม่สามารถรวมเสียงให้เกิน 376 เสียงได้ ดังนั้น คสช. จะเป็นผู้กำหนดว่าพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคๆใดจะเป็นรัฐบาล
2. คสช.จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง โดยมีพรรคขนาดใหญ่พรรคหนึ่งมาร่วมรัฐบาล
3. พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ยอมและจับมือกันเป็นรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องยาก
4. ปล่อยฟรีโหวตกับส.ว. ให้การตั้งรัฐบาลเป็นธรรมชาติ โดยคสช.ถอยออกไปยืนดู 5 ปี ไม่เป็นผู้เล่นเอง ซึ่งแนวทางนี้มองว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และจะสามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองได้
“หากคสช.ไปตั้งพรรคการเมืองเอง เป็นผู้เล่นเหมือนพรรคสามัคคีธรรมในปี 2534 ก็จะทำให้เสื่อมทันที” อ.ปริญญากล่าว
รูปแบบข้างต้นเป็นทางเลือกที่อ.ปริญญาวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นไปได้ โดยให้ข้อเสนอแนะแนวทางที่ควรเป็น
ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ วิเคราะห์ความเป้นไปได้ของรูปแบบเหล่านี้ โดยระบุถึงความแตกต่างว่า อ.ปริญญาเป็นนักนิติศาสตร์ ซึ่งทางนิติศาสตร์จะมองเป็นขาวดำ มองตามสูตร แต่นักรัฐศาสตร์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกและภายใน
“สถานการณ์จนถึงวันเลือกตั้งยังไม่แน่นอน อาจเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ และแรงกดดันทั้งหลาย หรือเรื่องความนิยมที่อย่าลืมว่าคนไทยเบื่อง่าย พฤติกรรมและอารมณ์ทางการเมืองผันแปรได้ตลอดเวลา รักง่ายหน่ายเร็ว สิ่งที่อ.ปริญญาวิเคราะห์ เข้าใจว่าเป็น ‘ความอยากให้เป็น’ ของอ.ปริญญามากกว่า ในเชิงข้อคิดเห็นและข้อแนะนำ
“ในเชิงรัฐศาสตร์จะมองว่าถ้าเลือกตั้งตอนนี้ คะแนนนิยมคสช.อาจยังไหวอยู่ แม้จะเสียรังวัดบ้างในกรณีธรรมกายและกรณีรถกระบะ แต่คนก็ยังมองว่ามีความตั้งใจจริงอยู่ ถ้าเป็นนายกฯคนนอกก็คงนอนมา แต่จากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้ง ตัวเลือกจะเยอะขึ้น ปัจจัยทางการเมืองเพิ่มขึ้น ปัจจัยการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศก็กดดันมา อย่าลืมว่ามีปัจจัยอื่น รัฐบาลมีการดีลหลายระดับประกอบกันหลายฝ่าย”
ส่วนข้อที่ว่ารัฐบาลนี้มีเสียงส.ว.อยู่ในมือแล้วนั้น อ.ชำนาญเห็นว่า เป็นสิ่งที่ยังไม่แน่นอน
“พล.อ.ประยุทธ์โดยสถานภาพถึงจะเป็นหัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรีก็จริง แต่ฐานกำลังไม่มี อย่าลืมว่าการเมืองไทยกองทัพเป็นผู้ถือกำลังสูงสุด ตอนนี้สังเกต ผบ.ทบ. จะเห็นว่าพูดน้อยและพูดไม่มีหลุดเลย ไม่ว่าจะกรณีชัยภูมิหรือกรณีอื่น คนก็เริ่มหันเหมีตัวเลือกเปรียบเทียบ คนที่พูดหลุดบ่อยๆกับคนที่พูดไม่หลุดเลย ในวงการทหารก็ไม่ได้เป็นเอกภาพนัก”
ส่วนรูปแบบรัฐบาล อ.ชำนาญกล่าวว่า ระบบการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคไหนไม่มีทางได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งอยู่แล้ว เพราะส.ส.เขตมี 350 เขต เลือกทั้งเขตและคนเบอร์เดียว ส.ส.มี 500 คน แต่คนเลือกนายกคือ ส.ส.500+ส.ว.250คน จะได้เกิน 376 เสียงนั้นยาก ไม่มีทาง
“ในอดีตที่ผ่านมา ไทยรักไทยกับประชาธิปัตย์เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ตราบใดที่หัวหน้าพรรคยังชื่ออภิสิทธิ์ ผมว่ายาก และตราบใดที่คุณชวน หลีกภัยยังอยู่ผมว่ายากที่เขาจะรวมกัน มีความเป็นไปได้แต่น้อย เพราะการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์และการต่อรอง ประชาธิปัตย์เขาก็มีบทเรียนมาแล้วสมัยที่เอาภูมิใจไทยมารวมแล้วเขาไม่ได้คุมหาดไทย เกิดอึดอัดใจกัน”
“รูปแบบอื่นๆตามที่อ.ปริญญาเสนอก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่โอกาสมีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ต้องดูพฤติกรรมการเลือกตั้ง จนถึงวันนั้นคสช.อาจมีความนิยมลดลงหรือติดลบ ช่วงฮันนีมูนเปลี่ยนไปแล้ว เขาอาจผูกพันอยู่ด้วยรัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่การแสดงออกของประชาชนที่ไปหย่อนบัตรแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการอะไร แม้เขาจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ แต่ถ้ารัฐบาลเหาะมาลอยมาก็จะทำงานยาก สมัยก่อนคุณสุจินดา คราประยูรก็มีประสบการณ์อยู่แล้ว”
ส่วนถ้าจะให้คสช.จะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมีพรรคขนาดใหญ่พรรคหนึ่งมาร่วมรัฐบาล อ.ชำนาญมองว่าเป็นการ “ขุดหลุมฝังตัวเอง”
“โอกาสยากมาก เพราะเมื่อขี่เสือไปแล้วระวังจะลงไม่ดี ตอนนี้คุณประยุทธ์หาทางลงดีที่สุด ขณะที่ยังไม่บาดเจ็บไปมากกว่านี้”
และรูปแบบที่จะให้ส.ว.ฟรีโหวตแล้วปล่อยให้การตั้งรัฐบาลเป็นธรรมชาติ โดยคสช.ถอยออกไปนั้น อ.ชำนาญมองว่าเป็นไปไม่ได้
“แล้วใครเป็นคนตั้งส.ว.ล่ะ คสช.ตั้งเขาก็ตั้งเอาตามที่คสช.ต้องการ แต่สิ่งที่คสช.ต้องการไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของคุณประยุทธ์คนเดียว คสช.เป็นคณะไม่ได้มีคนเดียว คสช.อาจหาทางลงให้คุณประยุทธ์แล้วเอาคนอื่นขึ้นมาแทนก็ได้ หรืออาจปั้นจากนักการเมืองที่สปอร์ตไลต์เริ่มจับ เช่น คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เขาพยายามรักษาเนื้อรักษาตัว พูดจาหล่อๆตลอดเวลา”
รูปแบบที่จะเป็นไปได้ อ.ชำนาญเห็นว่า เป็นรัฐบาลผสมและอิทธิพลของคสช.จะยังมีอยู่ แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่น่าจะมีบทบาทถึงขนาดมาเป็นนายกรัฐมนตรี “จะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง”
“อิทธิพลคสช.อยู่แน่ ยุทธศาสตร์ 20 ปีอยู่แน่ แต่ตัวบุคคล เผลอๆอาจได้นักการเมืองนั่นแหละ แต่เป็นนักการเมืองที่คสช.หนุนหลังมากกว่า อาจไม่ใช่หุ่นเชิด100เปอร์เซ็นต์แต่ก็เป็นหุ่น แน่นอนฟันธงว่าไม่ใช่เพื่อไทยแน่ ไม่มีทาง เขาทุกอย่างเพื่อกำจัดเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ก็ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์แน่ คุณอภิสิทธิ์เสียท่าทำให้ขัดเคืองตอนรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนใบ
“ผมเดาว่าน่าจะเป็นประชาธิปัตย์ แต่ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ จะใครไม่รู้ อยู่ที่เขาจะปั้นขึ้นมา เพราะประชาธิปัตย์ก็มีทั้งบวกและลบในความสัมพันธ์กับทหาร” อ.ชำนาญกล่าวทิ้งท้าย