นางนิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ออกมาเตือนว่าสหรัฐอาจดำเนินมาตรการเพิ่มเติมหลังยิงจรวดโทมาฮอว์ก 59 ลูกถล่มฐานทัพอากาศซีเรียไปเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา เพราะสหรัฐจะไม่ยืนนิ่งเฉยเมื่อมีการใช้อาวุธเคมี และสหรัฐให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการระงับไม่ให้มีการใช้อาวุธเคมีอีก

เฮลีย์กล่าวในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งขณะนี้สหรัฐดำรงตำแหน่งประธานในที่ประชุมว่า ปฎิบัติการโจมตีของสหรัฐมีขึ้นเพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย จะไม่สามารถใช้อาวุธเคมีได้อีกครั้งหนึ่ง และสหรัฐพร้อมที่จะทำมากกว่านี้แต่หวังว่าจะไม่จำเป็นต้องดำเนินการ เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติด้านความมั่นคงที่สำคัญยิ่งในการป้องกันการแพร่ขยายของการใช้อาวุธเคมี

เฮลีย์ยังกล่าวโทษรัสเซียและอิหร่านที่เข้าข้างรัฐบาลซีเรียในการก่ออาชญากรรม เพราะการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับอัสซาดจะนำไปสู่การสังหารผู้คนมากขึ้นอีก

ด้านรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของซีเรียออกมากล่าวหาสหรัฐว่าให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายด้วยการลงมือโจมตีซีเรียเพียงฝ่ายเดียวดังกล่าว พร้อมกับสัญญาว่ารัสเซียจะเร่งเพิ่มเข้มแข็งให้กับระบบป้องกันทางอากาศของซีเรีย ทั้งยังสั่งยกเลิกสายด่วนระหว่างสหรัฐที่ทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกันของเครื่องบินรบต่างฝ่ายในซีเรีย

นายวลาดิมีร์ ซาฟรอนคอฟ อัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็นระบุว่า การโจมตีทางอากาศต่อซีเรียของสหรัฐเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และว่าเมื่อสหรัฐเลือกที่จะเดินบนหนทางของตนเอง สิ่งนั้นจะนำไปสู่การเกิดโศกนาฎกรรมในภูมิภาค

มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 คนจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐครั้งนี้ อย่างไรก็ดีตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงสับสนเพราะก่อนหน้านี้มีรายงานผู้เสียชีวิต 9 คน