อุบัติเหตุ
แปลว่า เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด แล้วก็อาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้
ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องเล็กน้อย เราคงใช้เพียงคำพูดขอโทษที่เหมาะสมเพื่อ "แสดงเจตนาสำนึกผิด " ให้ผู้ที่ได้รับความเสียหาย เกิดความรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญที่ได้เอ่ยคำขอโทษ เพราะเราสำนึกถึงความผิดที่ได้พลั้งพลาดทำไป และการให้อภัยกับผู้ที่รู้ตัวว่าได้กระทำความผิดแล้วยอมรับผิด นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมของเราปลอดภัย และน่าอยู่ เสมอมา..ซึ่งการกระทำแบบนี้เองหรือเปล่าคะ ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด "การประกันภัย" ..
ดังนั้น เพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเสียหาย พึงได้รับการชดเชยจากการเกิดขึ้นของอุบัติเหตุ และให้ผู้ที่ทำให้เกิดความสูญเสีย หรือความเสียหายต่อฝ่ายตรงข้าม ได้แสดงออกถึงความรู้สึกรับผิดชอบ ผ่านการจ่ายค่าชดเชยอย่างเหมาะสม แม้ว่าบางครั้งอาจประมาณความเสียหายไม่ได้ ก็ตามที.. คอลัมน์ของเราฉบับนี้จะพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับประเภทของการประกันภัยรถยนต์ จาก "บริษัทคุณประกันภัย" หรือผู้ที่กำลังทำหน้าที่เป็นคนกลางรักษาผลประโยชน์ให้ทั้งผู้ชดใช้ค่าเสียหาย และผู้ได้รับค่าเสียหาย เมื่อมีอุบัติเหตุ...เกิดขึ้นค่ะ
คุณนุก หรือ คุณเคทีย์ บอร์เด็น ได้ช่วยนำเรื่องราวประเภทของการประกันภัยรถยนต์คร่าวๆ มาให้ทางเรานำมาฝากให้ผู้ท่านอ่านได้ศึกษา และทำความรู้จักกับการประกันภัยรถยนต์ ซึ่งคุณนุกได้ใช้แง่คิดจากประสบการณ์ในการทำงาน ไว้ว่า โดยแท้จริงแล้ว การเลือกซื้อประกันรถยนต์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตในอเมริกา เพราะถ้าหากเลือกซื้อประกันที่ให้ความคุ้มครองน้อยเกินกว่ามูลค่าความเสียหายของผู้บาดเจ็บ ผู้ซื้อประกันอาจต้องถูกบังคับนำทรัพย์สินส่วนตัวออกขาย เพื่อจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะคนที่มีบ้าน มีรถ มีธุรกิจ ควรจะเลือกประเภทของการประกันภัยให้เหมาะสม เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวที่มี ด้วยการพิจารณาถึงการเลือกซื้อประกันภัยให้รอบคอบ หรือควรปรึกษาผู้ที่สามารถให้ความรู้ก่อนตัดสินใจซื้อประกันภัยให้กับรถคันโปรดของเรา
ประเภทของความคุ้มครอง
คุณนุกบอกว่า
หลายๆคนมักเข้าใจว่า หากทำประกันภัยชั้น 1 แล้ว ก็จะคุ้มครองได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องจ่ายอะไรอีก แต่ข้างล่างนี้ คือความจริงของแต่ละประเภทของการให้ความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์ ที่ทางบริษัทประกันภัยรถยนต์ในอเมริกามีให้กับผู้ซื้อนะคะ ซึ่งเราควรทำความรู้จักไว้ และเรามาดูประเภทแรกกันก่อนค่ะ
ประเภทที่ 1. Bodily Injury 15/30 หรือการให้ค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่มีการบาดเจ็บเกิดขึ้น
ซึ่งหมายถึง
ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด เมื่อขับรถชนคู่กรณี แล้วทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บ
ซึ่งคุณนุกอธิบายว่า
15 หมายถึง การจ่ายค่าเสียหาย $15,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อคน ส่วน
30 หมายถึง การจ่ายค่าเสียหาย $30,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อครั้ง
จะกี่คนก็ได้ ก็จ่ายเพียงแค่ $30,000 และการจ่ายแบบ 15/30 นี้
จัดเป็นการให้ความคุ้มครองต่ำสุด ต่อการรับผิดชอบต่อผู้บาดเจ็บ หรือผู้เสียหายที่ทางรัฐบาลบังคับให้ทุกคนต้องมี และเราสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มขึ้นได้อีก ถ้าหากเราต้องการค่ะ
ประเภทที่ 2. Property Damage 5000 หรือการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินที่เสียหาย (ตัวรถยนต์)
ประเภทนี้ เป็นการให้ความคุ้มครองรถของฝ่ายตรงข้าม ในกรณีที่เราขับรถชนรถฝ่ายตรงข้าม แล้วทำให้รถฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหาย ตัวเลข
5000 นี้ หมายถึง การให้ความคุ้มครองเพียงแค่ $5,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อครั้ง ถ้ารถฝ่ายตรงข้ามเสียหายมากกว่านั้น เราจะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเสียหายเอง และตัวเลข
5000 นี้ คือความคุ้มครองต่ำสุดที่ทางรัฐบาลบังคับให้ทุกคนต้องมี และเช่นเดียวกันค่ะ ที่เราสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอีกได้ ถ้าต้องการนะคะ
ทั้งนี้ จากที่คุณนุกได้บอกว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อประกันภัยรถยนต์ ที่มีวงเงินประกันน้อย แต่ประสบกับอุบัติเหตุที่มีมูลค่าการเสียหายมาก และผู้ซื้อประกันภัยรถยนต์ไว้ ก็เป็นผู้มีธุรกิจ มีทรัพย์สินมีมูลค่าอื่นๆ จึงควรจะเลือกความคุ้มครองให้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันทรัพย์สินส่วนตัวไว้ไม่ให้ถูกบังคับนำออกขายเพื่อจ่ายค่าชดใช้ให้กับผู้เสียหายนั่นเองค่ะ
เพราะในทางความเป็นจริงแล้ว การคุ้มครองฝ่ายตรงข้าม
หรือผู้ที่ได้รับความเสียหาย เพียงแค่ $15,000 / $30,000 (15/30 ) และ
Property $5,000 นั้น ไม่ได้คุ้มค่ากับสิ่งที่ผู้เสียหายได้รับเลย
เพราะบางครั้งอาจหมายถึงอวัยวะ หรือแม้กระทั่งชีวิต
แต่หากเรายังนึกภาพนั้นไม่ออก ให้มองกลับมาว่า เป็นตัวเราผู้ได้รับความเสียหายนั้น ทีนี้เราคงจะพอมองเห็นภาพที่คุณนุกได้บอกแล้วว่า เหตุใดคุณนุกถึงได้ให้แง่คิดนี้ไว้นะคะ ซึ่งแม้กระทั่งในธุรกิจ Car leasing company หรือบริษัทที่ให้เช่ารถ ยังให้เงื่อนไขในการประกันภัยไว้ในความคุ้มครอง $100,000/$300,000/$50,000 เพื่อเป็นการป้องกัน หากว่ามีมูลค่าการเสียหายจากฝ่ายตรงข้ามที่มีมูลค่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นคุณนุกบอกว่า ค่าเบี้ยประกันระหว่าง $100,000/$300,000/$50,000 และ $15,000 /$30,000 /$5,000 นั้นราคาไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรเลยค่ะ หากเราจะเลือกการให้ความคุ้มครองที่สูงขึ้นต่อเพื่อนร่วมโลก
3. Medical Payments 5000 หรือการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตัวเอง
ซึ่งตัวเลข 5000 หมายถึง บริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ไม่เกินวงเงิน $5,000 ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ตาม เมื่อเราได้รับบาดเจ็บจากอุบติเหตุ แต่รัฐบาลไม่ได้บังคับให้ต้องมี เหมือนอย่าง 2 ประเภทแรกนะคะ
4. Uninsured Motorist Bodily Injury (UMBI) 15/30 หรือการให้ความคุ้มครองในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีประกัน หรือชนแล้วหนี
การให้ความคุ้มครองประเภทนี้ หมายถึงการที่บริษัทประกันจะจ่ายให้ในกรณีที่เราและผู้โดยสารของเราได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตัวเลข
15 หมายถึง การจ่ายค่าเสียหาย $15,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อคน ที่โดยสารมากับเราในรถ และตัวเลข 30 หมายถึง การจ่ายค่าเสียหาย $30,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อครั้ง จะกี่คนก็ได้ที่โดยสารมากับเราในรถ โดยที่การประกันประเภทนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้บังคับให้ต้องมีเช่นกันค่ะ
5. Uninsured Motorist Property Damage (UMPD) 3500 หรือการให้ความคุ้มครองความเสียหายของรถในกรณีฝ่ายตรงข้ามไม่มีประกัน หรือชนแล้วหนี
การคุ้มครองประเภทนี้หมายถึงกรณีที่ฝ่ายตรงฃ้ามไม่มีประกัน หรือชนแล้วหนี และทำให้รถของเกิดเราได้รับความเสียหาย โดยเราสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในการซ่อมแซมรถตัวเองได้ ซึ่งตัวเลข 3500 หมายถึง การให้ความคุ้มครองแค่ $3500 ต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อครั้ง ซึ่งการประกันประเภทนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้บังคับให้ต้องมีเช่นกัน
6. Comprehensive DEDUCTIBLE 500 หรือ 1000 หรือการให้ความคุ้มครองรถยนต์ที่เกิดจากอุบัติเหตุอื่นๆ
คุณนุกบอกว่า บางครั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถ อาจไม่ได้เกิดขึ้นบนท้องถนนเท่านั้น แต่อาจเกิดจาก รถถูกไฟไหม้ ถูกขโมย ความเสียหายจากพายุ กระจกแตก หรือต้นไม้หล่นมาทับ เป็นต้น และในกรณีนี้หากเรา หรือผู้โดยสารที่มากับเราในรถได้รับบาดเจ็บ บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครอง โดย DEDUCTIBLE 500 หมายถึงก่อนที่บริษัทประกันจะจ่ายค่าเสียหายให้ เราต้องจ่ายให้ประกัน $500 ก่อน และ DEDUCTIBLE 1000 หมายถึง ก่อนที่ประกันจะจ่ายค่าเสียหายให้ เราต้องจ่ายให้ประกัน $1000 ก่อน ตัวอย่างเช่น หากเราต้องจ่ายค่าซ่อมรถจำนวน $10,000ในการซ่อมรถ เราจะต้องจ่าย $500 ส่วนที่เหลือประกันจะจ่าย $9,500 และการให้ความคุ้มครองตัวนี้รัฐบาลไม่ได้บังคับให้ต้องมี
7. Collision DEDUCTIBLE 500 หรือ 1000
ให้ความคุ้มครองรถของเราเมื่อมีการชนกันเกิดขึ้น และตัวรถได้รับความเสียหายไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด DEDUCTIBLE 500 หมายถึง ก่อนที่ประกันจะจ่ายค่าเสียหายให้ เราต้องจ่ายให้ประกัน $500 ส่วน DEDUCTIBLE 1000 คือ ก่อนที่ประกันจะจ่ายค่าเสียหายให้ เราต้องจ่ายให้ประกัน $1000 ก่อน
ยกตัวอย่าง ถ้าต้องใช้เงิน $10,000 ในการซ่อมรถ เราจะต้องจ่าย $500 ส่วนที่เหลือประกันจ่าย $9,500 ซึ่งการประกันประเภทนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้บังคับให้ต้องมีค่ะ
8. Rental หรือ การจ่ายค่าเช่ารถ
การจ่ายค่าเช่ารถ ในระหว่างที่รถอยู่ในระหว่างซ่อมแซม บริษัทจะให้ความคุ้มครองขึ้นอยู่กับเมื่อตอนที่เราเลือกซื้อ เช่น 30/30 หมายความว่า บริษัทประกันจะจ่ายให้วันละ $30 ต่อ 30 วัน
9. Towing หรือ การจ่ายค่าลากรถ
และจากประเภทของการให้คุ้มครองทุกข้อข้างต้นทั้งหมด เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการประกันภัยที่ซื้อนั้นจัดอยู่ในประเภทไหนกัน คุณนุกบอกว่าให้ดูจากประเภทที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่นหากเรามีประเภทของการให้ความคุ้มครองประเภทที่
1 และ 2 การประกันประเภทนี้ คือการประกันแบบ ไลอะบิลิตี้ ( Liability )
หรือการประกันชั้น 3 แต่ถ้าหากประกันที่ซื้อไว้ ให้ความคุ้มครองประเภทที่
1,2,6 และ 7 นั่นคือการประกันภัยประเภท ฟูล โควฟ์ วะ เลจซ์ (Full coverage) หรือการประกันชั้น 1 นั่นเอง ส่วนการประกันประเภทที่เหลือใน ข้อที่ 3, 4, 5, 8 และ 9 คือการให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมที่เราสามารถซื้อเพิ่มได้ต่างหากค่ะ
และในส่วนท้ายของคอลัมน์นี้ คุณนุกได้แนะนำสิ่งที่ควรทำเมื่อท่านผู้อ่านกำลังประสบกับอุบัติเหตุ นะคะ คือ
1. ขอข้อมูลของบริษัทประกัน โดยการแลกเปลี่ยนประกันกับฝ่ายตรงข้าม
พร้อมกับแลกเปลี่ยนข้อมูลชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ เก็บไว้
2. รีบโทรแจ้งประกันของเรา โดยสามารถหาเบอร์ได้ที่ ใบประกันไอดี ที่เราใส่
ไว้ในรถ
3. ถ่ายรูป รถทั้งสองฝ่ายให้เห็นภาพของความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจน
สถานที่เกิดเหตุ ในจุดที่มองเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับบริษัทประกัน
ภัยทั้งสองฝ่าย แต่ควรเพิ่มความระมัดระวัง เพราะบางครั้งจุดที่เกิดเหตุ
อาจไม่ใช่จุดที่ปลอดภัย ในการถ่ายภาพนะคะ
3. แต่ถ้าเป็นอุบัติเหตุที่ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ให้รีบโทรแจ้ง 911 ทันที
และทางเราต้องขอขอบคุณนุก จากบริษัทคุณอินชัวร์รันส์ ที่ได้ส่งเรื่องราวของการประกันภัย ฝากมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จัก และเข้าใจประเภทของการประกันภัยรถยนต์มากขึ้นนะคะ ท่านผู้อ่านคะ บริษัทประกันภัยนั้น แท้จริงแล้ว เปรียบเสมือนกับผู้ที่ทำหน้าที่แทนเราต่อบุคคลอื่น คือ "ให้" เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นกับผู้ที่เสียหาย และทำหน้าที่ "รับ" คือ เรียกร้องให้ค่าชดเชยให้กับเรา เมื่อเราเป็นฝ่ายเสียหายให้ถูกต้องตามกฏหมายอย่างซื่อสัตย์ เพราะบางครั้ง เราต่างต้องยอมรับว่า เราก็ไม่สามารถจะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะให้ความไว้วางใจกับผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ได้ทำหน้าที่แทนเราบ้างนะคะ.. แล้วพบกับเราที่นี่ กับสาระดีๆ ฉบับหน้าค่ะ