เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โครงการสร้างความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง ศาลรัฐธรรมนูญ กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดการอภิปรายเรื่อง “ศาลรัฐธรรมนูญภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” โดยมี นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายอุดม รัฐอมฤต คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ร่วมเสวนา โดยนายอุดม กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้อยู่ระหว่างรอพระบรมราชวินิจฉัย ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจึงจะทรงลงพระปรมาภิไธย โดยเราคาดว่า ทุกอย่างจะลงตัวช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งกรธ.พร้อมจะส่งกฎหมายลูกว่าด้วย กกต. และพรรคการเมือง ให้สนช.พิจารณาทันที ฝ่ายเลขาฯเตรียมบันทึกข้อความพร้อมส่งหนังสือแล้ว ส่วนในมุมมองของ กรธ.ผู้ร่าง ศาลรัฐธรรมนูญคือผู้ตรวจสอบ ในส่วนของมาตรา 212 – 213 ที่ให้ประชาชนร้องตรงยังศาลรัฐธรรมนูญได้ แล้วมีการตั้งข้อสังเกตุหลายอย่าง เช่น ศาลจะกลายเป็นผู้ทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองหรือไม่ ตนยอมรับว่าเป็นเรื่องหนักใจ โดยรายละเอียดส่วนนี้ จะอยู่ในกฎหมายลูก ซึ่งกรธ.จะพิจารณาให้อยู่ในจุดที่พอเหมาะพอดีที่สุด

“ตอนกรธ.ยกร่างฯมาตรา 212 – 213 เข้าใจประชาชนกำลังกังวลใจการใช้อำนาจในบ้านเมือง ว่า จะมีกลไกการตรวจสอบฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ตุลาการ ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อ.คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ก็วิจารณ์ว่า จะใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีช่องทางอะไร ที่ประชาชนจะอ้างตามบทบัญญัตินี้ได้ ขอเรียนว่า ช่องว่างนี้จะเกี่ยวข้องกับช่องว่าของอำนาจสูงสุด ซึ่งมีที่เราคิดไม่ถึงอยู่หลายเรื่อง” นายอุดม กล่าว

ด้าน นายปัญญา กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติได้แยกศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นหนึ่งหมวดเฉพาะ แต่แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะแยกออกมาแต่ยังเป็นองค์กรศาลที่ใช้อำนาจตุลาการเช่นเดียวกันกับศาลอื่นทั่วไป ที่พระมหากษัตริย์แต่งตั้งและให้พ้นจากตำแหน่ง รวมถึงต้องถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนรับหน้าที่ เหมือนเป็นตราแสตมป์สถานะของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ โจทย์ใหญ่ของมาตรา 212 – 213 คล้ายกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 คำถามคือ คำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาล ประชาชนสามารถยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้อีกหรือไม่ จึงอยากให้การร่างกฎหมายลูกว่าด้วยวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน ส่วนมาตรา 210 (2) ให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจ ของส.ส. ส.ว. รัฐสภา ครม. และองค์กรอิสระ จะเห็นว่า ไม่มีคำว่า ′ระหว่าง′ ทำให้ไม่มีคู่กรณี ดูเหมือนจะมีอำนาจมากขึ้น