EB-3 เป็น Green Card กับความมุ่งมั่นของผู้ชายธรรมดา..คุณกิตติภพ พลสา
Q : สวัสดีค่ะ แนะนำตัวสักหน่อยนะคะ
A
: สวัสดีครับ ผมชื่อ ตั้ม กิตติภพ พลสา ตอนนี้ทำงานที่ AEC USA,LLC
เมือง Charleston รัฐ South Carolina ในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการที่ปรึกษาฝ่ายบุคคลากรระหว่างประเทศ
Q: วันนี้อยากขอให้คุณกิตติภพ ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองสักนิดหน่อยนะคะ ที่เกี่ยวกับ..ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก่อนที่จะได้มาอยู่ตรงตำแหน่งนี้น่ะค่ะ
A:
ผมมาอเมริกาครั้งแรก ปี 2006 เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน High School Exchange
Program การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน และใช้ชีวิตที่อเมริกา มันคือ
การฝึกฝนและหาตัวตนให้เจอ หลายคนไปแลกเปลี่ยน เพราะต้องการฝึกภาษา
บางคนไปแล้วคิดถึงบ้านมาก กลับก่อนกำหนด บางคนไปเพื่อท่องเที่ยว
สนุกกับชีวิตแต่ละวัน บางคนไป เพราะพ่อแม่อยากให้ไป แต่สำหรับผมไป
เพราะต้องการแนวคิดใหม่ เรียนรู้ระบบการศึกษาของอเมริกา
เรียนรู้วัฒนธรรมของคนอเมริกัน เรียนรู้การแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะมองหาโอกาสต่างๆ สำหรับอนาคต จากจุดเริ่มต้นที่ดีในชีวิตวัยมัธยม ทำให้ชีวิตของผมได้ผูกเชือกไว้กับอเมริกา
ผมมีโอกาสกลับไปอเมริกาทุกปี ได้เรียนรู้วีซ่าประเภทต่างๆ
ในการไปแต่ละครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลย ที่ทำให้ตัวเองอยู่ถาวรได้
วีซ่าแต่ละประเภทมีจุดประสงค์ชัดเจน
เราเข้าตามตรอก ออกตามประตูเสมอ หากเราทำผิดแม้ครั้งเดียว อาจส่งผลระยะยาว
ผ่านมา 10 กว่าปีที่เข้า - ออกอเมริกา ศึกษาข้อมูล ช่องทาง
โอกาสในการขอกรีนการ์ดที่เหมาะกับเรา
เป็นตัวตนของเรา จนได้มาเจอเส้นทางที่เราเดินได้ แต่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก
คนไม่กล้าเดิน เราจึงลุยเดินด้วยตัวเอง เพราะผมเชื่อว่า "การเรียนรู้
นำปาฏิหารย์มาสู่ชีวิตเสมอ" ครับ
Q: เท่าที่ทราบ หลายคนได้กรีนการ์ดส่วนใหญ่ผ่านมาทางครอบครัว คุณตั้ม ขอเรียกคุณกิตติภพ ว่าคุณตั้มแล้วกันนะคะ คุณตั้มเคยคิดจะมาเส้นทางนี้บ้างมั๊ยคะ ?
A: เคย..คิดเหมือนกันครับ ตอนมาเรียนที่นี่ก็มีแฟนเป็นชาวอเมริกัน แต่เมื่อเราคิดละเอียดจริงๆ การที่เรารักใครสักคนเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย ไม่ค่อย OK สำหรับผม ผมจึงตั้งใจว่า เราเป็นผู้ชาย เราต้องได้กรีนการ์ดมาจากเส้นทางอื่นได้ เพราะไม่ได้มีเส้นทางเดียวที่ยื่นขอกรีนการ์ดได้
ยังมีอีกหลายเส้นทาง เช่น การขอกรีนการ์ดผ่านการจ้างงาน
ล๊อตเตอรรี่กรีนการ์ด และการลงทุน เรามีทางเลือก เราเลือกเอง
เรากำหนดชีวิตตัวเองได้ ยืนด้วยขาตัวเอง ปลอดภัยที่สุด
เราไม่รู้ว่าอนาคตของความรักจะเป็นอย่างไร รู้เพียงว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือเลือกเส้นทางที่เราทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ครับ
Q: คุณตั้ม เลยเลือกที่จะขอกรีนการ์ด ผ่านการจ้างงาน... ?
A: ครับ.. ช่วงแรกศึกษา ล๊อตเตอรรี่กรีนการ์ด แต่ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย ทำให้ผมศึกษากรีนการ์ดผ่านการจ้างงาน
และการลงทุน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมตั้งใจว่า ต้องเลือกเส้นทางใดทางหนึ่ง
เมื่อศึกษาเส้นทางการลงทุน ผมต้องมีเงินลงทุนอย่างน้อย $500,000
มีค่าทนายความและค่าอื่นๆ.. โดยเฉลี่ยผมต้องเตรียมเงินอย่างน้อยประมาณ $700,000 มีความเป็นไปได้ ถ้าผมขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไทยทั้งหมด ส่วนเส้นทางผ่านการจ้างงาน ผมได้ศึกษาละเอียด และความเป็นไปได้ที่ผมจะได้กรีนการ์ดผ่านเส้นทางนี้ ทำให้ผมตัดสินใจว่า ต้องลองดูทั้งสองทาง ทางไหนถึงก่อน เราลุยเดินทางนั้นเลยครับ...
Q: ขอถามเป็นความรู้เพิ่มเติมนะคะ คุณตั้มจบเภสัชศาสตร์มา ทำไมไม่สมัครงานด้านนี้ แล้วขอกรีนการ์ดผ่านการจ้างงานประเภทนี้ล่ะคะ...?
A: คือ ผมขออธิบายสักเล็กน้อยนะครับ คือกรีนการ์ดผ่านการจ้างงานที่เราขอได้จะมี EB-2 และ EB-3 ซึ่ง EB-2 นั้นจะเน้นไปสายอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เก่ง
มากๆ หรือแพทย์เฉพาะทาง ส่วน EB-3 จะแบ่งประเภทย่อยมาอีก 3 ประเภท คือ
Professional (ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาการ) , Skilled worker (ผู้ใช้ทักษะ
เช่นพ่อครัว แม่ครัว ) และ อื่นๆ Worker (การใช้แรงงานด้านอื่นๆ)
และเภสัชศาสตร์ จะอยู่ในกลุ่ม EB-3 Professional โดยต้องสอบ NAPLEX License ให้ได้ ซึ่งกว่าจะสอบผ่านมาได้ ต้องผ่านขั้นตอน และการสอบก่อนหน้าอีก ซึ่งมีขั้นตอนต้องใช้เวลามากพอสมควร สำหรับผู้จบการศึกษามาจากต่างประเทศ เพื่อมาเทียบเท่ากับที่อเมริกา ที่สำคัญ หากการประเมินเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่มีชื่อมหาวิทยาลัยที่เราเรียนจบมารับรองเทียบเท่าโอกาสที่จะได้ก็ยิ่งน้อยลง ผมจึงตัดสินใจเลือกการขอกรีนการ์ด แบบ EB-3 แบบ other worker
Q: คุณตั้ม เลยเลือกการขอกรีนการ์ดแบบ EB-3 แบบ other worker ช่วยเล่าให้ฟังสักนิดนะคะ
A: คือผมใช้เวลาหลายปีในการมาอเมริกาทุกครั้งสมัครงานกลุ่ม Skilled worker กับนายจ้างจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะถามว่าเราทำงานได้ถูกกฏหมายหรือเปล่า
ถ้าเราตอบว่าไม่ แต่ขอให้ช่วย sponsor เราได้มั๊ย ?
นายจ้างส่วนใหญ่จะไม่ช่วย เพราะเอกสาร และค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่นายจ้างต้องจ่ายในการดำเนินการ ถึงแม้เราจะจ่ายค่าทนายความในส่วนของเราเองก็ตาม และงานกลุ่ม Skilled worker เป็นกลุ่มงานที่คาบเกี่ยวกับการแย่งงานคนอเมริกัน
แม้เราจะได้นายจ้างเป็น Sponsor แล้ว แต่ถ้ากระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
เห็นว่างานที่เรายื่นนั้น คนอเมริกัน หรือคนที่ถือกรีนการ์ด
สามารถสมัครและทำได้ โอกาสที่จะถูกอนุมัติก็น้อยลงไป
จึงทำให้ผมหันมาสนใจศึกษางานกลุ่มประเภท EB-3 Other worker น่าจะเหมาะกับเราที่สุด เพราะเป็นกลุ่มงานที่คนที่นี่ไม่ค่อยนิยมทำ และเป็นกลุ่มงานที่ขาดแคลนเช่นกัน
แต่ EB-3 หรือ EW-3 other worker รัฐบาลอเมริกันกำหนดโควต้าต่อปี ไม่เกิน
10,000 คนทั่วโลก และไม่เกิน 7% ต่อสัญชาติ ในแต่ละปี
ทำให้บางประเทศคิวนานมาก พอมาดูของคนไทย คิวน้อย
เพราะไม่ค่อยมีคนไทยยื่นขอกรีนการ์ดผ่านการจ้างงาน ทำให้โอกาสที่จะได้รับกรีนการ์ดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ
Q: แล้วตอนนั้น คุณตั้มสมัครงานประเภท EB-3 other worker ตำแหน่งอะไรคะ
A: ผมสมัครตำแหน่ง คนล้างจานที่ Kaiwah Resort, SC และต้องทำงานให้ครบตามสัญญาขั้นต่ำครับ เมื่อครบสัญญาแล้วเราจะทำงานต่อ หรือเปลี่ยนงานขึ้นอยู่กับเราแล้วครับ
ซึ่งในตอนทำงานที่นั่น ผมก็ทำงาน..หลายงานเลยครับ ทั้งงานออฟฟิส
และเรียนต่อปริญญาโท โดยที่เราต้องจัดตารางเวลาดีๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับตารางทำงานที่นายจ้างจัดให้ สนุก..มากครับ
Q: ก็เรียกได้ว่า ได้ทั้งงาน ทั้งการเรียน และประสบการณ์นะคะ แล้วงานนี้คุณตั้มไปสมัครเอง หรือยังงัยคะ ?
A:
ผมสมัครผ่าน Human Resource Consultant ที่ผมทำงานอยู่ปัจจุบันครับ
การสมัครตรงกับนายจ้าง โอกาสที่นายจ้างจะรับเป็น Sponsor น้อยมาก
เพราะเค้าไม่รู้จักเรา และเอกสารทั้งหมดของนายจ้าง เป็นเอกสารสำคัญ
โดยเฉพาะเรื่องของภาษี และใบอนุญาติต่างๆ การที่จะเอาเอกสารเหล่านั้นมาให้เรายื่น ลองคิดดูถ้าเราเป็นนายจ้าง เราจะให้เอกสารสำคัญเหล่านี้กับคนทีไม่รู้จักมั๊ย จึงทำให้ผมเข้าใจครับว่า Human Resource Consultant เป็นงานที่สำคัญมากกับนายจ้างขนาดใหญ่ที่นี่ครับ
Q: ก็ยังสังสัยอยู่นะคะว่า ทำงานล้างจาน..จะขอใบเขียวได้จริงๆ หรอ.. คะ ?
A:
หลายคนถามคำถามนี้กับผมเยอะมาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่เรียนจบสูงๆ
จะมีความทะเยอทะยานว่างานไหนทำ งานไหนไม่ทำ แต่งานล้างจานสอนผมหลายอย่าง
ทั้งการเรียนรู้ชีวิตของเพื่อนร่วมงาน แนวคิดการใช้ชีวิต ผมเข้าใจเลยว่า งานทุกงานมีความสำคัญและมีเกียรติเท่ากันทั้งหมด ผมมองว่า ถ้าคนล้างจานไม่สะอาด ไม่ใส่ใจในงานของตัวเอง คนที่มารับประทานอาหารอาจท้องเสีย ไม่สบาย ผมมองเป็นเรื่องละเอียดมาก ผมล้างจานเหมือนเจ้าของเลยครับ ผมกำลังส่งต่อความสุข และสุขภาพในการรับประทานอาหารที่ยอดเยี่ยมให้กับทุกคน
ที่มาทานอาหารที่นี่ ทำให้ปัจจุบันนี้ทุกครั้ง
ที่ผมไปทานอาหารที่ร้านอาหาร ผมจะมีซองทิป เขียนว่า " Dishwasher Tips"
เพราะงานล้างจานได้เงินไม่เยอะนัก
หากเทียบกับอาชีพอื่นๆ แต่ความสำคัญเท่ากัน กับอาชีพอื่นๆ ผมมองว่า
เราต้องให้ความสำคัญกับทุกคน ทุกอาชีพ เพราะหากไม่มีอาชีพเหล่านี้
งานเหล่านั้น เรา..อาจต้องมาทำเอง เพราะเค้าเหล่านั้น
ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น เราจึงควรต้องขอบคุณ และซาบซึ้งในทุกงาน..ที่ทุกๆ
คนทำให้เราครับ
Q: ขอบคุณมากค่ะ..สำหรับคำตอบนี้ เหมือนได้สัมภาษณ์นางงามรอบตัดสินเลย.. เพราะเป็นแง่คิดที่ดีมากๆ มีอะไรจะฝากถึงท่านผู้อ่านหรือเปล่าคะ ตอนนี้...
A: ครับ.. ไม่ว่าเราจะทำอะไรต่างๆ ในชีวิตเรา เราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อเป้าหมายของเราชัดเจน เส้นทางที่จะเดินไปยังเป้าหมายก็จะชัดเจน
ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ชัดเจน เส้นทาง และปลายทางของเราก็ไม่ชัดเจน
ในส่วนของผม ผมมีความชัดเจนว่าต้องการ กรีนการ์ดเพื่อย้ายมาอยู่อเมริกาอย่างถาวร ผมจึงลงมือศึกษา และลงมือทำทันที จึงทำให้เส้นทางของผมปรากฏขึ้นมาตามที่ผมต้องการ
เมื่อได้แล้ว ผมวางเป้าหมายของผมต่อไป ทั้งการเรียนต่อปริญญาโท,
เขียนหนังสือ, การทำฟาร์มผัก, การทำร้านอาหาร และอื่นๆ
เมื่อเป้าหมายของผมชัดเจน ผมลงมือทำทันที และเห็นผลความสำเร็จแต่ละขั้นตอนทุกวัน
ทุกคนก็ทำได้เหมือนกัน ง่ายๆ เพียงแต่ตัดสินใจแล้วก้าวแรก
ออกมาจากตรงจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้ ตั้งเป้าหมายของเรา กำหนดอนาคตตัวเอง
ลงมือทำตามฝันให้สำเร็จทุกวัน ครับ
สำหรับท้ายคอลัมภ์ของเราฉบับนี้ คุณตั้ม ได้กล่าวทิ้งท้ายฝากแง่คิดให้ท่านผู้อ่านไว้แทนเราหมดแล้วนะคะ และคุณตั้มยังฝากให้ติดตามหนังสือที่คุณตั้มได้เขียนไว้เป็นแนวทางให้ฉุกคิดถึงการขอกรีนการ์ดที่ไม่ได้มีเพียงการแต่งงานเท่านั้น แต่หนทางอื่นๆ อย่างที่คุณตั้มได้ใช้ แม้จะเป็นงานหนัก ไร้เกียรติในสายตาสังคม แต่กลับให้บทเรียนต่างๆ กับคุณตั้มได้นำมาใช้เป็นทัศนคติดีต่อเพื่อนร่วมโลก และสร้างความภาคภูมิใจที่ได้มาอย่างมีความสุข และหากท่านผู้อ่านท่านใดอยากลองอ่านหนังสือที่คุณตั้มได้เขียนไว้เรื่อง "กรีนการ์ด คือคำตอบในการอยู่อเมริกา" แล้ว ตอนนี้มีขายบน amezon.comสำหรับคนไทยที่อยู่ต่างประเทศทั่วโลก และที่ประเทศไทยหาซื้อได้ที่ร้านนายอินทร์ และ ซี-เอ็ด บุ๊กส์ ค่ะ แล้วพบกับเราฉบับหน้าค่ะ