เป็นเรื่องราวของ โจเซฟ มิลาโน่ ชาวบอสตันซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลไทยให้เป็น “กงสุลกิตติมศักดิ์” ประจำนครบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งคนไทยเราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของเขามาบ้างแล้ว เมื่อครั้งที่เขานำอดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริด้า แจ็บ บุช ไป “คุกเข่า” ถวายความไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ "จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช" เมืองแคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเสทส์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2016
เขาเป็นเจ้าของบาร์ ที่บทความของ WGBH บอกว่าเก่าแก่ที่สุดในอเมริกา
บาร์แห่งนี้ มีชื่อว่า ”ยูเนี่ยน ออยสเตอร์ เฮาส์” ตั้งอยู่บนถนนยูเนี่ยน ใจกลางเมืองบอสตัน ถูกสถาปนาให้เป็นแลนด์มาร์กของบอสตัน เพราะเปิดให้บริการมานานกว่า 300 ปี เคยเสิร์ฟเหล้าและอาหารให้กับบุคคลสำคัญของอเมริกามามากมาย คือตั้งแต่ เดเนียล เว็บสเตอร์ อดีต ส.ส., ส.ว. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (1782-1852) เรื่อยมาจนถึงอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้ และอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบาม่า ที่แวะเวียนไปกินแคลมชาวเดอร์ ที่ร้านนี้เมื่อเดือนกันยายน 2015
ดังนั้น ส่วนหนึ่งของผู้คนที่แวะเวียนไปเยือน ยูเนี่ยน ออยสเตอร์ เฮาส์ คือชาวอเมริกันที่ต้องการวีซ่าเข้าประเทศไทย ทั้งในในฐานะนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ
โจเซฟ มิลาโน่ บอกว่าจุดเริ่มต้นของการเป็นกงสุลกิติมศักดิ์ของรัฐบาลไทยนั้น เริ่มเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน หลังจากทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของไทยทรงพระราชสมภพที่โรงพยาบาลเมาท์ ออเบิร์น เมืองแคมบริดจ์ จึงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ไทยกับเมืองบอสตัน น่าจะมีการหยิบยกขึ้นมาเชิดชู และเฉลิมฉลองกัน
“ผมจึงทำร่างข้อมติ (resolution) เสนอต่อเมืองบอสตัน ให้ตั้งชื่อจตุรัสแห่งนี้ตามพระองค์ท่าน” มิลาโน่ บอก และว่าข้อมติของเขาได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างดี จนผ่านความเห็นชอบจากสภาเมืองอย่างรวดเร็ว...
King Bhumibol Adulyadej Square หรือ “จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช” จึงถูกสถาปนาขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองเคมบริดจ์ และโรงพยาบาลโรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น อันเป็นที่พระราชสมภพ โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จไปทรงรับมอบในพิธีอุทิศจัตุรัสเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1990 ก่อนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงเปิดผ้าแพรคลุมป้ายแผ่นจารึกพระราชประวัติ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1992
บทความของ WGBH บอกด้วยว่า บอสตัน ไม่ได้มีความผูกพันกับสถาบันกษัตริย์ของไทยเพียงแค่ “เมืองประสูติ” ของในหลวงภูมิพลเท่านั้น แต่ “พระราชบิดา” (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ก็ทรงเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อีกด้วย
โดยจตุรัสภูมิพลอดุลยเดช อยู่บริเวณ “ใจกลาง” ของบริเวณที่เรียกว่า ฮาร์วาร์ด สแควร์ ย่านการค้ากลางเมือง โดยอยู่ตรงข้ามกับ เคเนดี้ สกูล และห่างจากโรงพยาบาลเมาท์ ออเบิร์น เพียงใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาที และกลายเป็นสถานที่สำคัญในความรู้สึกของคนไทยจากทั่วโลก ที่แวะเวียนมาเยือนสถานที่แห่งนี้ปีละมากๆ
และผลงานชิ้นโบว์แดงดังกล่าว ทำให้ โจเซฟ มิลาโน่ กลายเป็นคนสำคัญของชุมชนไทยในย่านนั้น ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ของประเทศไทย เมื่อปี 2001 สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
บทความของ WGBH บอกว่า หากต้องการติดต่อขอวีซ่าเข้าประเทศไทย ต้องเดินผ่านร้านอาหารเก่าแก่แห่งนี้เข้าไปด้านหลัง และขึ้นบันไดไปยังชั้นสองจึงจะเจอป้ายสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของไทยแลนด์
ออฟฟิศของ มิลาโน่นั้น บทความของ WGBH บอกว่าเต็มไปด้วยของที่ระลึกที่ “mishmash” ระหว่างศิลปะไทย กับของเก่าที่แสดงความเป็น “แยงกี้” ของเจ้าของออฟฟิศ เช่นมีช้างแกะสลัก เรือสุพรรณหงส์จำลอง วางปนอยู่กับของที่ระลึกของทีมเบสบอลประจำเมือง มีทั้งพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า และบุคคลสำคัญของอเมริกา
WGBH บอกว่าการจัดตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ในเมืองเล็กๆ คือทางเลือกที่ฉลาดของของประเทศ (ไทย) ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายกับการจัดตั้งสถานทูตหรือสถานกงสุล เพราะสามารถออกวีซ่าให้กับชาวอเมริกันที่ต้องการใช้เวลาอยู่ในเมืองไทยนานกว่าสามสิบวัน ขณะเดียวกันก็สามารถให้คำแนะนำ หรือความช่วยเหลือกับชาวไทยที่ประสบปัญหาต่างๆ ระหว่างเดินทางมาท่องเที่ยวหรือร่ำเรียนอยู่ที่อเมริกาด้วย
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศของไทยบอกว่า ในประเทศอเมริกานั้น นอกจากสถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกุงสุลใหญ่ทั้ง 3 แห่งแล้ว รัฐบาลไทยยังได้แต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์อีก 13 ท่านในหลายๆ รัฐ เพื่อให้คนไทยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือ หรือขอรับข้อมูลต่างๆ ได้ระหว่างอยู่ที่นี่ รวมถึงยังเป็น “ตัวแทน” ของประเทศไทยในการส่งเสริมและเผยแพร่ประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน รวมไปถึงการให้บริการด้านกงสุลในการออกวีซ่าเข้าประเทศไทยด้วย...
โจเซฟ มิลาโน่ บอกว่านอกจากการตรวจลงตราวีซ่าแล้ว เขาเองไม่มีโอกาสได้ทำงานที่ถือว่าเป็น “เรื่องใหญ่” มากนัก เขาไม่เคยต้องให้ความช่วยเหลือกับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย หรือหากจะมีการเสด็จเยือนบอสตันของพระบรมวงศ์สานุวงศ์ หน้าที่เตรียมการและถวายการต้อนรับก็จะเป็นของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ไป
กระนั้น กับตำแหน่งนี้ก็ทำให้เขามีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ มีโอกาสได้พบกับนักการเมืองของไทยมากมาย รวมถึงได้เดินทางไปประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่เขารักอย่างยิ่งหลายต่อหลายครั้ง...
และที่สำคัญ... หน้าที่หลักของเขาคือการตรวจลงตราวีซ่า ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะแต่ละปี โจเซฟ มิลาโน่ ออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางไปเมืองไทยมากถึง 1,200-1,300 คนทีเดียว
เขาบอกว่า “แฮปปี้” กับการมีส่วนร่วมในการทำงาน “ระหว่างประเทศ” เช่นที่เป็นอยู่ แม้จะมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยก็ตาม
นอกจากความสุขใจแล้ว WGBH ถามว่าเขาได้รับอะไรเป็นสิ่งตอบแทนอีกหรือไม่
คำตอบคือป้ายทะเบียนรถยนต์ของกงสุลกิตติศักดิ์ ซึ่งเป็นเลขตัวเดียว คือเลข 1
ถามว่าได้สิทธิ์อะไรจากป้ายทะเบียนพิเศษชนิดนี้ โจเซฟ มาริโน่ ตอบว่า
“ตราบใดที่ผมจอดไม่ผิดกฎหมาย และเหมาะสม ผมก็จะไม่ได้ตั๋ว” เขาตอบแบบคนอารมณ์ดี.